ต้นมันแกว (yam bean หรือ jicama) มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก เป็นพืชอาหารสำคัญของผู้คนในแถบอเมริกากลาง อเมริกาใต้ และทวีปเอเชียมานานหลายพันปี
มันแกว จัดเป็นพืชผักตระกูลถั่ว ประเภทรากสะสมอาหาร มันแกว100 กรัม ให้พลังงาน 38 กิโลแคลอรี่ มันแกว ประกอบด้วยสารอาหารมากมาย อาทิ คาร์โบไฮเดรต 17.47 กรัม น้ำตาล 1.8 กรัม ใยอาหาร 4.9 กรัม ไขมัน 0.09 กรัม โปรตีน 0.72 กรัม และน้ำ 90.07 กรัม หัวมันแกวสด นิยมรับประทานเป็นผลไม้ แปรรูปทำขนม และนำมาประกอบอาหาร ฝักและเมล็ดอ่อนของมันแกว นำมาต้ม หรือรับประทานสดเป็นผักเคียงได้ ส่วนเมล็ดแก่มันแกว นำมาบด สกัดเป็นยาฆ่าแมลง

รศ.ดร. ปิ่นมณี ขวัญเมือง อาจารย์ประจำสาขาวิชาครุศาสตร์เกษตร คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ของมันแกว โดยพบว่า คนไทยส่วนใหญ่นิยมนำมันแกวมาประกอบอาหารและบริโภคหัวมันแกวสดเช่นเดียวกับผลไม้ทั่วไป ส่วนด้านการแปรรูปมันแกวยังมีน้อย ทำให้เกษตรกรขายมันแกวได้ราคาถูก เนื่องจากมันแกวมีสารอินูลิน (Inulin) ซึ่งเป็นน้ำตาลโอลิโกฟรุกโทส (Oligofructose) ที่สามารถละลายน้ำได้ จึงเกิดแนวคิดแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มในรูปแบบเครื่องดื่มน้ำมันแกวพร้อมดื่ม ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะประเทศจีนเองก็ได้มีการจดสิทธิบัตรการผลิตเครื่องดื่มน้ำมันแกว สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชชนิดนี้ได้ไม่น้อยทีเดียว
รศ.ดร. ปิ่นมณีได้ทดลองนำมันแกวมาปั่นและกรองให้เหลือแต่น้ำ โดยให้ความร้อนเล็กน้อยจนเกิดตะกอน และกรองแยกน้ำใสๆ ออกมา จนได้เครื่องดื่มน้ำมันแกว ซึ่งวิธีการที่ทำไม่ยุ่งยาก เกษตรกรสามารถทำตามได้ง่าย
ทุกวันนี้ เมืองไทยมีการปลูกมันแกวในหลายพื้นที่ ทำให้หัวมันแกวมีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไป สำหรับมันแกวขนาดหัวเล็ก เปลือกบาง ส่วนใหญ่ปลูกอยู่ทางภาคอีสาน เช่น มันแกวบรบือ ที่ปลูกแพร่หลายในจังหวัดขอนแก่น และมหาสารคาม เมื่อนำมาแปรรูปจะให้น้ำที่ใสกว่า และไม่มีแป้งเกิดขึ้นในน้ำมากเหมือนกับมันแกวที่ปลูกในภาคกลาง

หลังจาก รศ.ดร. ปิ่นมณี ได้ทดลองผลิตเครื่องดื่มน้ำมันพร้อมดื่มแล้ว ก็ได้นำมาปรุงแต่งรสชาติให้หลากหลายขึ้น เช่น ผสมกับน้ำกระเจี๊ยบ น้ำเก๊กฮวย และน้ำชาเขียว ก็ได้รสชาติอร่อยมากขึ้น ต่อมาได้ทดลองพัฒนาเป็นเครื่องดื่มน้ำมันแกวเสริมจุลินทรีย์โพรไบโอติก โดยการใส่เชื้อจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสเข้าไปในน้ำมันแกว ทำให้เกิดคุณประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายมากขึ้น จึงได้จดอนุสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ในนามสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
ขั้นตอนการผลิตเครื่องดื่มน้ำมันแกว
หากใครสนใจเพิ่มมูลค่ามันแกวในรูปแบบเครื่องดื่มน้ำมันแกว เพื่อบริโภคในครัวเรือนและผลิตออกขายสร้างรายได้ รศ.ดร. ปิ่นมณี มีคำแนะนำดังต่อไปนี้
1.นำผลมันแกวมาปอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาด จากนั้นหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตามแนวยาว
2.นำมันแกวที่หั่นแล้วไปต้ม ในอัตราส่วน น้ำ 1 ส่วนต่อ มันแกว 1 . 5 ส่วน ปล่อยให้เดือด ประมาณ10 นาที
3. นำมากรองน้ำ โดยใช้กระชอน หรือผ้าขาวบาง จะได้เครื่องดื่มน้ำมันแกวสีเขียวอมเหลือง มีกลิ่นหอมเล็กน้อย มีความหวานประมาณ 3-4 องศาบริกซ์
4.นำเครื่องดื่มน้ำมันแกวผสมกับน้ำผลไม้ (น้ำส้ม แครอต) หรือน้ำสมุนไพร (ใบเตย เก๊กฮวย มะตูม) เพื่อเพิ่มสี กลิ่น และรสชาติ
5. ปรับความหวานตามความชอบด้วยน้ำตาล หรือใช้หญ้าหวาน ก่อนนำไปต้มให้เดือด ประมาณ 10 นาที ปล่อยให้เย็น อุณหภูมิประมาณ 65-70 องศาเซลเซียส จากนั้นบรรจุเครื่องดื่มน้ำมันแกวลงขวดที่เตรียมไว้ เติมด้วยวุ้นมะพร้าวปั่นที่ต้มฆ่าเชื้อแล้ว เพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัส ก่อนนำไปบริโภคหรือวางจำหน่าย

สำหรับเครื่องดื่มน้ำมันแกวที่ผ่านการพาสเจอไรซ์และเก็บไว้ในตู้เย็น สามารถเก็บไว้ได้นาน 10-15 วัน ที่ผ่านมา ได้ทดลองผลิตเครื่องดื่มน้ำมันแกวเสริมโพรไบโอติกที่มีรสชาติคล้ายนมเปรี้ยว ขนาดบรรจุ100 ซีซี จำหน่ายที่ขวดละ 15 บาท
เนื่องจากมันแกว เป็นพืชที่ให้พลังงานต่ำ อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ช่วยให้อิ่มท้องไว มีความหวานตามธรรมชาติ มันแกวจึงเป็นผลไม้ทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เมื่อนำมาแปรรูปในรูปแบบเครื่องดื่มน้ำมันแกว ซึ่งเป็นสินค้าที่แปลกใหม่ ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย และเป็นเครื่องดื่มทางเลือกที่เหมาะสำหรับกลุ่มคนรักสุขภาพได้ในอนาคต
หากใครสนใจอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำเครื่องดื่มน้ำมันแกว ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ รศ.ดร. ปิ่นมณี ขวัญเมือง อาจารย์ประจำสาขาวิชาครุศาสตร์เกษตร คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หมายเลขโทรศัพท์ 087-093-9130 ( ในวันและเวลาราชการ )

เผยแพร่ในระบบออนไลน์เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2565 โดย คุณวิภาวรรณ เพ็ชรศรี
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/technologychaoban/techno-news/article_128530