เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
แปรรูปสินค้าเกษตร

โครงการ ‘ข้าวชาวนาไทย’ ซี.พี. จับมือเกษตรกรไทยมุ่งสู่ ‘สมาร์ท ฟาร์เมอร์’ 4.0

ประเทศไทยเคยได้เป็นแชมป์โลกในการส่งออกข้าว แต่จากวิกฤตการณ์ต่างๆ ในช่วงเวลาไม่กี่ปี ส่งผลต่อราคาข้าวจนตกต่ำถึงขีดสุดเป็นประวัติการณ์ ในรอบ 10 ปี

นโยบายประชารัฐในโครงการ“นาแปลงใหญ่ ประชารัฐ” จึงถือกำเนิดขึ้น โดยความร่วมมือกับบริษัทเอกชนที่มีจุดแข็งในด้านการบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดการพัฒนาเป็นเกษตรแผนใหม่ พร้อมปรับตัวเข้าสู่ยุคเกษตร 4.0 (Smart Farmer 4.0)

ในฐานะผู้ที่คร่ำหวอดในภาคเกษตรมานาน บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด จึงมีโอกาสเข้าร่วมในยุทธศาสตร์ ก่อตั้งโครงการ “ข้าวชาวนาไทย” สนับสนุนด้านการพัฒนาความรู้ทางด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี การจัดการผลผลิตอย่างรัดกุม เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยมุ่งสู่การเป็น “ชาวนา 4.0”

ฐิติ ลุจินตานนท์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด เล่าให้ฟังขณะนำคณะสื่อมวลชนเข้าชมต้นน้ำโครงการที่ ต.ดู่ อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า บริษัทได้จัดจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ และมีนักวิชาการให้ความรู้แก่เกษตรกรสมาชิกทุกขั้นตอนตามมาตรฐาน GAP (Good Agriculture Practice) ซึ่งเป็นการปฏิบัติเพื่อให้ผลผลิตมีมาตรฐานปลอดภัย ตามค่ามาตรฐานที่ออกโดยกรมวิชาการเกษตรและกรมการข้าว โดยเริ่มต้นตั้งแต่การเตรียมดิน การเลือกเมล็ดพันธุ์ การใช้ปุ๋ย ใช้น้ำที่เหมาะสม การบำรุงรักษาให้ปลอดจากศัตรูพืช ไปจนถึงช่วงที่ข้าวออกรวงพร้อมเก็บเกี่ยว ซึ่งเป็นการควบคุมคุณภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกร

“เรายังมุ่งสร้างกลไกราคาตลาดที่เหมาะสม โดยการรับซื้อข้าวเปลือกตรงจากชาวนาสมาชิกทั้งหมด ให้ราคาสูงกว่าตลาดอย่างน้อย 300 บาท ต่อตัน” ฐิติ บอก

จากซ้ายไปขวา ไตรรัตน์ อุดมศรีโยธิน, ยงยุทธ พฤกษ์มหาดำรง, ฐิติ ลุจินตานนท์

ขณะที่ ไตรรัตน์ อุดมศรีโยธิน รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด เล่าถึงแผนการขยายงานในอนาคตว่า นอกจากการเปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือกตรงจากชาวนา รวม 29 จุด 12 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงราย พะเยา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ยโสธร สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร สุพรรณบุรี และนครสวรรค์ เพิ่มจากปี พ.ศ. 2559 ที่มีเพียง 18 จุดทั่วประเทศ ในปี 2561 จะขยายพื้นที่โครงการนาแปลงใหญ่ประชารัฐ ในแถบภาคอีสานเพิ่มขึ้นอีก คาดว่าจะเพิ่มพื้นที่โครงการเป็น 100,000 ไร่ จากเดิม 73,000 กว่าไร่ และจะมีเกษตรกรเข้ามาเป็นสมาชิก จำนวน 5,000 ราย จากเดิม 3,500 กว่าราย เพื่อรองรับปริมาณข้าวหอมมะลิเพิ่มเติมจากเกษตรกรอีกด้วย

ทางด้านการผลิตและจัดจำหน่าย ยงยุทธ พฤกษ์มหาดำรง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ข้าว ซี.พี. อธิบายเพิ่มเติมว่า หลังจากรับซื้อข้าวเปลือกจากชาวนาจะนำข้าวมาสีพร้อมบรรจุถุง ภายใต้ชื่อโครงการ “ข้าวชาวนาไทย” จัดจำหน่ายในราคาต้นทุน ไปยังช่องทางต่างๆ ทั่วประเทศ อาทิ เซเว่น อีเลฟเว่น ซี.พี. เฟรชมาร์ต แม็กโคร และโกลเด้น เพลส

“เราไม่ได้เข้ามาช่วย แต่เราร่วมมือกัน บนถุงไม่มีเครื่องหมายการค้า วันนี้เราไม่รู้จักข้าวตราฉัตร เรารู้จักแต่ข้าวชาวนาไทย เราตั้งใจออกมาในช่วงที่ข้าวเปลือกชื้นออกมาเยอะ เพื่อผลักดันข้าวเข้าตลาดเยอะๆ เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ และจะทำต่อเนื่องไปทุกปีเพื่อความยั่งยืน” ยงยุทธ ย้ำเจตนารมณ์

อ่อนศรี อาจศรี เกษตรกรสมาชิกในโครงการ “ข้าวชาวนาไทย”

หันกลับมาที่เกษตรกรสมาชิกโครงการ อ่อนศรี อาจศรี เล่าว่า วิถีการทำนาของชาวบ้านแต่เดิมมักไม่มีการคัดเลือกพันธุ์ข้าว ใครมีพันธุ์ข้าวไหนก็ปลูกกันไป เก็บเกี่ยวกันเอง มัดเองเป็นท่อนๆ เมื่อสีแล้วเมล็ดข้าวมักจะหัก ไม่สวย

“หลังจากมีนักวิชาการมาแนะนำการทำนา ใช้เมล็ดพันธุ์จากบริษัท ประเภทของปุ๋ยที่ใช้ในแต่ละช่วง สีข้าวออกมาผลผลิตเยอะกว่าเดิมครึ่งต่อครึ่ง เปอร์เซ็นต์ข้าวออกมาดีมาก ราคาก็ยุติธรรม มีที่รับซื้อแน่นอน ชอบใจมาก” อ่อนศรี บอก

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายคำถามที่ยังคงดังต่อเนื่องอยู่ในสังคม ไม่ว่าจะกรณีของสถานะกึ่งผูกขาดของบริษัทเอกชนรายใหญ่ หรือการคัดสรรเมล็ดพันธุ์ที่เฉพาะเจาะจง การใช้ปุ๋ยต่างๆ เพื่อให้ได้ข้าวคุณภาพตามกำหนด จะนำไปสู่การทำลายวิถีชีวิตที่ถูกสืบทอดมาของชุมชนหรือไม่ อย่างไร

ทั้งนี้ การปฏิรูปการเกษตรนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน เรายังต้องติดตามกันต่อไปว่าเส้นทางอันหอมหวานในเวลานี้จะนำไปสู่ปลายทางเช่นไร

Related Posts