ข้าวสาลี
ในช่วงนี้ กระแสรักสุขภาพที่มาแรง หลายคนหันมาบริโภคพืชผักกันมากขึ้น และผักสุขภาพอย่างต้นอ่อนข้าวสาลีก็ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่าต้นอ่อนทานตะวันเลย ซึ่งเราจะไปดู วิธีการเพาะปลูก และการดูแลกัน ต้นอ่อนข้าวสาลี หรือเรียกอีกอย่างว่า วีท กราส (Wheat grass) เป็นต้นอ่อนหรือต้นกล้าที่เจริญเติบโตมาจากเมล็ดข้าวสาลี โดยในระยะต้นกล้าจะมีสีเขียวเข้มที่อุดมไปด้วยสารอาหาร แร่ธาตุ และโปรตีนที่หลากหลาย สำหรับฟาร์มเพาะต้นอ่อนข้าวสาลี ที่จะพาไปชมในวันนี้ ตั้งอยู่ที่ ซอยจรัญสนินวงศ์ 35 โดยมี คุณนพดล กิจพิทักษ์ เป็นเจ้าของฟาร์ม คุณนพดลพูดถึงจุดเริ่มต้นการเริ่มเพาะต้นอ่อนข้าวสาลีว่า ช่วงประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว เทรนด์สุขภาพมาแรง ก็มองหาว่า ตัวไหนที่ลูกค้ากินซ้ำๆ แล้วเราพอจะปลูกเองได้ จากนั้นก็หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตจนเจอ ต้นอ่อนข้าวสาลี ก็คือเอาเมล็ดข้าวสาลีมาเพาะให้อยู่ในระยะต้นอ่อน ไม่เกิน 7 วัน ซึ่งระยะนี้ จะเป็นระยะที่มีสารอาหารดีที่สุด สำหรับ อุปกรณ์ประกอบด้วย ถาดเพาะกล้าพลาสติกขนาดความกว้าง 30 เซนติเมตร ยาว 60 เซนติเมตร และสูง 3.5 เซนติเมตร กระสอบพลาสติกสาน เมล็ดพันธุ์ข้าวสาลี และวัสดุปลูกจะใช้ขุยมะพร้าวผสม
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) สวก. พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย กรมการข้าว, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา, มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่) ร่วมกันทำโครงการวิจัย การพัฒนาการผลิตธัญพืชเมืองหนาวเป็นพืชหลังนา เพื่อการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรภาคเหนือตอนบน เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ภาคเหนือ และส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพของประเทศไทย ผลักดันและเพิ่มมูลค่า ให้ “ธัญพืช” หรือ ข้าวสาลี พืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ที่เป็นทั้งแหล่งพลังงานจากการรับประทาน และแปรรูปได้หลากหลาย ไปสู่ความมั่นคงทางด้านอาหารและสร้างรายได้ที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด…ธัญพืชอาหารแห่งอนาคต ในประเทศไทยมีการนำเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากข้าวสาลีเป็นธัญพืชเมืองหนาว ที่มีบทบาทไม่น้อยต่อชีวิตประจำวันของคนไทย ทำให้สถิติการนำเข้าของข้าวสาลีและแป้งข้าวสาลีในแต่ละปีมีมูลค่าเพิ่มขึ้น มีการนำเข้าข้าวสาลีและแป้งข้าวสาลีปริมาณ 1,035,798 ตัน คิดเป็นมูลค่า 11,003 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2560 และ 838,737 ตัน คิดเป็นมูลค่า 13,511 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2561 (สถิติการค้าสินค้าเกษตรไทยกับต่
โปแลนด์ เป็นประเทศการเกษตรโดยแท้ เป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ในสหภาพยุโรป ผลผลิตสำคัญล้วนคืออาหารหลัก อย่างข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ พืชตระกูลถั่ว ผักผลไม้ และนม ข้าวสาลีเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของโปแลนด์ คิดเป็นประมาณ 20% ของผลผลิตทางการเกษตรทั้งหมด ส่วนใหญ่ปลูกในภาคกลาง เช่น แคว้นมาซอเวีย แคว้นวีแยลโกโปลสกา แคว้นพาเดอร์เบียน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น แคว้นมาซูเรีย แคว้นวาร์มิน-มาซูเรีย แคว้นลูบุสซุ ปี 2565 โปแลนด์มีผลผลิตข้าวสาลีประมาณ 15.5 ล้านตัน คิดเป็นอันดับที่ 10 ของโลก ส่งออกไปทั่วโลก ประเทศผู้ซื้อที่สำคัญ เช่น เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ อิตาลี แล้วก็อียิปต์ นอกจากนี้ โปแลนด์ผลิตข้าวโพดมีสัดส่วนประมาณ 15% ของผลผลิตทั้งหมด ส่วนใหญ่ปลูกในภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้ แล้วยังมีข้าวบาร์เลย์ประมาณ 10% พืชตระกูลถั่วประมาณ 5% ผักผลไม้ 10% และผลิตภัณฑ์นมประมาณ 15% ปี 2565 โปแลนด์ส่งออกสินค้าเกษตรมูลค่าประมาณสี่หมื่นห้าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวหนึ่งล้านห้าแสนล้านบาท เรียกว่าเกือบครึ่งหนึ่งของงบประมาณพัฒนาประเทศเราในแต่ละปี ประเทศผู้ซื้อที่สำคัญคือ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์
ประธานยุทธศาสตร์การเกษตรพรรคเพื่อไทย แนะเกษตรกรหันมาปลูกข้าวสาลีหลังการทำนา ชี้เป็นที่ต้องการของตลาด และราคายังสูงอีกด้วย มั่นใจพริกชีวิตให้พี่น้องเกษตรกรให้ดีขึ้นได้ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานยุทธศาสตร์การเกษตรพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้ข้าวสาลีเป็นที่นิยมมาก และเป็นที่ต้องการมากของตลาดในประเทศไทย ซึ่งขนาดนี้ประเทศไทยยังมีการนำเข้าข้าวสาลีจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกในประเทศค่อนข้างน้อยมากเพียงแค่ 1% ที่เหลือเป็นการนำเข้าทั้งหมด ทางพรรคเพื่อไทยจึงอยากส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวสาลีเพิ่มมากขึ้นเพราะเป็นพืชที่ปลูกหลังการทำนาได้ดี ซึ่งจากปัจจุบันข้าวสาลีอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ 15 บาท ข้าวขาวทั่วไปอยู่ที่ประมาณ กิโล 8 -9 บาท ซึ่งข้าวสาลี สามารถนำมาใช้ ประโยชน์ได้ทั้งต้นของข้าวสาลีไม่ว่าจะเป็นอาหารสัตว์ ใช้เป็นส่วนผสมของอาหารหลายชนิด เช่น พาสต้า เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นบะหมี่ และอาหารประเภทแป้งอบอย่างขนมปัง ยังสามารถทำนำฟางมาทำหลอดดูดน้ำ ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยเตรียมนวัตกรรม และระดมนักวิชาการ เตรียมมาส่งเสริมไม่ว่าจัดอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ รวม
ข้าวสาลี เป็นพืชเมืองหนาวที่ปลูกได้ในประเทศไทย สามารถโตได้ดีในพื้นที่ที่มีอากาศหนาว ทำให้บริเวณภาคเหนือของประเทศเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมในการส่งเสริมการปลูกข้าวสาลี เพราะเกษตรกรสามารถนำมาปลูกควบคู่กับพืชเมืองหนาวชนิดอื่นได้ ซึ่งข้าวสาลีเองมีคุณสมบัตินำมาทำประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น การนำมาทำเป็นแป้งเพื่อผลิตขนมปัง หรือจะนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการทำเป็นสินค้าสวยงามตกแต่งบ้านเรือน เมื่อเร็วๆ นี้ กรมการข้าวได้จัดงาน “วันถ่ายทอดเทคโนโลยี ปอยข้าวสาลี” เพื่อประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ผลงานของโครงการวิจัย “การพัฒนาการผลิตธัญพืชเมืองหนาวเป็นพืชหลังนาเพื่อการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรภาคเหนือตอนบน” และเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การแปรรูปธัญพืชเมืองหนาว สู่การนำไปใช้ประโยชน์ทั้งการค้าและเพื่อเพิ่มมูลค่า นำไปสู่การสร้างธุรกิจใหม่ตาม BCG model โดยจัดขึ้นที่ศูนย์วิจัยข้าวสะเมิง อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก คุณทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานในครั้งนี้ คุณทองเปลว กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ข้าวสาลีเป็นที่นิยมมาก ตลาดมีความต้องการสูงถึง 382 ตันต่
เรียน คุณหมอเกษตร ทองกวาว ที่นับถือ ผมเคยอ่านหนังสือพบว่า ประเทศญี่ปุ่นผลิตข้าวได้เพียงพอบริโภคภายในประเทศมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงได้ไม่นาน แต่มีเพื่อนๆ บอกว่า ญี่ปุ่นยังต้องมีการนำข้าวเข้าไปยังประเทศอีก ผมจึงขอเรียนถามว่าเป็นเพราะเหตุใด ขอคำอธิบายด้วยครับ ขอแสดงความนับถือ วิรัตน์ สุทรเศรษฐ์ กรุงเทพฯ ตอบ คุณวิรัตน์ สุทรเศรษฐ์ ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน มีประชากร 170 ล้านคน มีพื้นที่ขนาดเล็กกว่าประเทศไทยเกือบครึ่งหนึ่ง ที่ผ่านมาญี่ปุ่นสามารถผลิตข้าวได้พอเพียงบริโภคภายในประเทศ เฉลี่ยปีละ 11 ล้านตันข้าวกล้อง แต่ปัจจุบันปริมาณการผลิตลดลงเหลือ ประมาณ 7 ล้านตัน ด้วยชาวญี่ปุ่นหันมาบริโภคแป้งข้าวสาลีมากขึ้น โดยนำมาผลิตขนมปังและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา สาเหตุการนำเข้าข้าวของญี่ปุ่น เป็นไปตามพันธสัญญาของ WTO จำนวนประมาณ 2 แสนตันข้าวสาร ข้าวที่นำเข้านี้ญี่ปุ่นจะนำไปช่วยเหลือประเทศยากจนอื่นๆ ในทวีปแอฟริกาเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเกิดภาวะสงคราม หรือฝนแล้ง น้ำท่วม ก็ตาม ข้าวอีกจำนวนหนึ่งเป็นข้าวเหนียวคุณภาพดี เป็นการนำเข้าจากประเทศไทย ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเชื่อมั่นว่าข้าวเหนียวจ
สนค.วิเคราะห์ผลสงครามการค้าสหรัฐฯ กับคู่ค้าในส่วนของการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร พบไทยมีโอกาสส่งออกเพิ่มขึ้นหลายรายการ เพื่อไปทดแทนสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งข้าว ผลไม้ กากเหลือจากการผลิตสตาร์ช ในตลาดจีน และข้าวโพดหวานในตลาด อียู แต่ก็ต้องระวังสินค้าจากสหรัฐฯ ที่จะไหลเข้าไทย ทั้งถั่วเหลือง ข้าวสาลี น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการศึกษากระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ในกลุ่มสินค้าเกษตรว่า ไทยมีโอกาสส่งออกสินค้าเกษตรไปจีนได้เพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนสินค้าของสหรัฐฯ เช่น กากเหลือจากการผลิตสตาร์ช ข้าว ผลไม้สดและแห้ง โดยเฉพาะพวกส้ม และพบว่า สินค้ากากเหลือจากการผลิตสตาร์ช เศษที่ได้จากการต้มกลั่น เป็นสินค้าที่มีโอกาสทำตลาดมากที่สุดในกลุ่มนี้ เนื่องจากเป็นสินค้าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐฯ เกือบทั้งหมด โดยในปีที่ผ่านมา จีนนำเข้าเป็นมูลค่า 66 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยมีการส่งออกประมาณ 3 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่งออกไป สปป.ลาว เกือบทั้งหมด จึงน่าจะสามารถกระจายสินค้าไปตลาดจีนมากขึ้นได้ ทั้งนี้ ผลจากการที่จีนขึ้นภาษีผลไม้ที่นำเข้าจาก
ชงสูตรแก้ปัญหานำเข้าข้าวสาลีใหม่ “นบขพ.” พ.ค.นี้ วงการข้าวโพดลือสะพัด ลดสัดส่วนสูตรรับซื้อข้าวโพด-ข้าวสาลี จาก 3 ต่อ 1 เหลือ 2 ต่อ 1 ตามคำร้องผู้ผลิตอาหารสัตว์แต่บังคับซื้อข้าวโพด กก. ละ 8.50 บาท นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการศึกษาวิเคราะห์การกำหนดสัดส่วนวัตถุดิบนำเข้าเพื่อทดแทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ กล่าวว่า ในเดือนพฤษภาคม 2561 จะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ซึ่งมี นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูตรใหม่ จากเดิมที่กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้องซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ 3 ส่วน เพื่อจะได้สิทธินำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน (3 ต่อ 1) “คณะทำงานได้หารือแนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการผลิตอาหารสัตว์และผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยนำปัจจัยทั้งหมดที่เกี่ยวข้องมาศึกษา เพื่อให้ได้แนวทางแก้ไขที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ ต้องนำเสนอ นบขพ. เพื่อพิจารณาก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร” แหล่งข่าวจากวงการค้าข้าวโพด
“สนธิรัตน์” สั่งคณะอนุกรรมการพิจารณาทบทวนมาตรการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดในประเทศเหลือ 1 ต่อ 2 จากเดิม1 ต่อ 3 ตามที่กลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์เสนอ ขีดเส้น 18 เม.ย.นี้ ย้ำให้ยึดหลักสร้างสมดุลระหว่างผู้ผลิต เกษตรกร นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับกลุ่มปศุสัตว์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ผู้ผลิตอาหารสัตว์ ผู้เลี้ยงไก่เนื้อว่า ตัวแทนจากสมาคมฯ ที่เข้าร่วมประชุมได้ขอให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาทบทวนมาตรการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดในประเทศที่อัตรา 1 ต่อ 3 หรือนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน ต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน โดยขอให้ผ่อนปรนมาตรการกำหนดสัดส่วนเหลือแค่อัตรา 1 ต่อ 2 หรือนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน ต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 2 ส่วนเท่านั้น ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการพิจารณากำหนดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่มีนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน นำข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณา โดยจะมีการประชุมกันในวันที่ 18 เม.ย.2561 และได้เปิดโอกาสให้สมาคมฯ ข้างต้นส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมได้ด้วย “มติที่ปร
ในมุม “สมาคมการค้าพืชไร่” มองว่ารอบหลายสิบปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเติบโตสูงมาก แต่การผลิตข้าวโพดของเกษตรกรไทยกลับมีต้นทุนต่อหน่วยสูงกว่าหลายประเทศ ส่งผลต่อศักยภาพการแข่งขัน ภาครัฐจำเป็นต้องมีการปกป้องการนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น เนื้อไก่ หมู ไข่ ข้าวโพด และอื่น ๆ รวมถึงผลผลิตทางการเกษตรทดแทน เช่น ข้าวสาลี กากข้าวโพด (DDGS) รำข้าวสาลี ที่อาจเข้ามาทุ่มตลาด ทำลายโอกาสทางอาชีพของเกษตรกรไทย เพื่อให้อยู่รอดภายใต้ภาวะค่าครองชีพที่สูง ต่อมาปี 2550 กลับมีการลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรทดแทนสำหรับใช้ในการผลิตอาหารสัตว์ลง โดยเฉพาะภาษีนำเข้าข้าวสาลี จากเดิม 27% เหลือ 0% ทำให้ในปี 2558-ถึงต้นปี 2560 เกษตรกรไทยผู้ปลูกข้าวโพดได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน เกิดกลไกการค้าที่เบี่ยงเบน จากการลดการใช้ข้าวโพดในการผลิตอาหารสัตว์ แล้วเพิ่มการใช้ข้าวสาลีมาทดแทนจนทำให้เกษตรกรขายข้าวโพดและมันสำปะหลังราคาตกต่ำลง ต่อมา ปลายปี 2559 ภาครัฐได้มีมาตรการปกป้องช่วยเหลือเกษตรกร โดยมีการกำหนดมาตรการ 3 : 1 โดยผู้ผลิตอาหารสัตว์ต้องใช้ข้าวโพดไทย 3 ส่วน จึงมีสิทธินำเข้าข้าวสาลีมาใช้ได้ 1 ส่วน ทำให้ฤดูกาลปัจจุบันทำให้ราคาข้าวโพด มั