ทำนา
จากกรณีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีมติเห็นชอบในโครงการ “ปุ๋ยคนละครึ่ง” เพื่อสนับสนุนและลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ที่กำลังเริ่มปลูกข้าวปีการผลิต 2567/68 ที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ประมาณ 4.68 ล้านครอบครัว หรือประมาณ 16 ล้านคน จะใช้จ่ายจากเงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายการดำเนินงานตามโครงการ 33,422.950 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกลุ่ม 1.เกษตรกรที่ปลูกข้าวทั่วไป 4.48 ล้านครัวเรือน (ใช้ปุ๋ยสูตรที่มีความเหมาะสมกับการปลูกข้าว) 2. เกษตรกรที่ปลูกข้าวอินทรีย์ 0.20 ล้านครัวเรือน (ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดน้ำและชนิดเม็ดและขึ้นบัญชีนวัตกรรม) ซึ่งหลักการง่ายๆ ของโครงการ ปุ๋ยคนละครึ่ง คือ รัฐบาลครึ่งหนึ่ง เกษตรกรครึ่งหนึ่ง โดยกำหนดให้ปุ๋ย 50 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ และต้องไม่เกิน 20 ไร่ เท่ากับ 1 ครัวเรือนไม่เกิน 1,000 กิโลกรัมนั่นเอง ข้อดีของปุ๋ยคนละครึ่งคือ การทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงอยู่ที่ 300 กว่าบาทต่อ 1 ไร่ ส่วนกำไรจากต่อ 1 ไร่ที่รัฐเข้ามาช่วยครึ่งหนึ่งจะอยู่ที่ไร่ประมาณละ 500 บาท ได้กำไรจากการขายข้าวด้วย และต้นทุนการผลิตลดลงด้วย ในการประชุมรอบแรกคือวันที่ 13 มิถุนา
ข้าวเม่า จัดเป็นอาหารว่างอย่างหนึ่งที่มีกลิ่นหอม รสอร่อย เป็นที่นิยมรับประทานในหมู่คนทางภาคอีสานอย่างกว้างขวาง และในปัจจุบันนี้พบว่า ประชาชนในภาคอื่นๆ ก็นิยมรับประทานข้าวเม่าด้วยเช่นกัน บางท้องที่นำข้าวเม่ามาแปรรูปเป็นขนมหวานในรูปแบบต่างๆ กัน ที่สำคัญเมื่อรับประทานแล้ว จะทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานเหมือนกับการรับประทานข้าว ทั้งนี้ เป็นเพราะว่าข้าวเม่านั้นทำมาจากข้าวดีๆ นี่เอง จะเรียกว่าเป็นอาหารว่างหรือขนมก็ไม่ผิด การทำข้าวเม่า เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวชนบท ที่มีมานานตั้งแต่สมัยโบราณกาล ในอดีตพบว่า ชาวนาจะทำข้าวเม่าเพื่อใช้รับประทานเป็นอาหารว่างและใช้เป็นของฝากญาติพี่น้อง แต่คนเก่าแก่บอกว่า นอกจากทำเพื่อรับประทานแล้ว ยังทำเพื่อนำไปเซ่นไหว้ผีเจ้าปู่ที่รักษาไร่นา หรือที่เรียกตามภาษาท้องถิ่นอีสานว่า ผีตาแฮก นั่นเอง เหตุที่ต้องเซ่นไหว้ก็เพราะว่าต้องการให้ ผีตาแฮก ดลบันดาลให้นาข้าวได้ผลผลิตสูงในปีนั้นๆ แต่ในปัจจุบันนอกจากจะทำข้าวเม่าตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวแล้ว ชาวบ้านยังทำเพื่อจำหน่ายเป็นรายได้เสริมยามเว้นว่างจากการทำนาในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ในแต่ละปี และมีบางหมู่บ้านหรือบางครอบครัวที
คุณศุภกานต์ พุทธรางกูร หรือ พี่อ้อ ยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์จังหวัดเชียงราย อยู่บ้านเลขที่ 333/1 หมู่ที่ 11 ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เล่าถึงที่มาของการกลับมาเป็นเกษตรกรว่า ก่อนที่จะมาทำเกษตรนั้นตนทำงานประจำเป็นพนักงานโรงแรมมาก่อน แล้วได้ลาออกจากงานประจำเพื่อมาสานต่องานที่บ้าน สืบเนื่องมาจากคุณแม่เป็นชาวนาสืบทอดมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่า ซึ่งเป็นการทำนาข้าวแบบเดิม คือปลูกและนำไปขายให้กับโรงสี อยากได้ข้าวปริมาณมากๆ เลยใช้ปุ๋ยเคมีและยาในการเพาะปลูก เพื่อเพิ่มผลผลิต วนเวียนอย่างนี้ทุกปี ซึ่งราคาข้าวก็ผันแปรไปตามกลไกตลาด ทำให้มีกำไรน้อยมาก หรือบางปีขาดทุน เพราะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าแรงงาน มีราคาสูงขึ้น คุณแม่จึงคิดว่าอยากจะปลี่ยนแปลงวิธีการทำนาข้าวแบบเดิม จึงเริ่มศึกษาการทำเกษตรอินทรีย์ และเก็บข้าวไว้เอง ไม่ขายให้กับโรงสี เพราะอยากจะผลิตข้าวที่ดีมีคุณภาพ เก็บไว้กินเอง และได้ขายข้าวที่ดีและปลอดภัยให้กับลูกค้า ซึ่งนอกจากนี้คุณแม่ยังได้มีการศึกษาการทำเกษตรผสมผสานตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกไว้กินเอง เหลือจึงนำออกไปขาย ได้ลองผิดลองถูกมาตลอด และด้วยความตั้งใจจร
ที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ เป็นพื้นที่รับน้ำตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน ประสบภัยน้ำท่วมทุกปีมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำ “ชุมแสง” โดนน้ำท่วมอ่วมอรทัยในปี 2554 นานถึง 3 เดือนกว่า พืชผลการเกษตรที่ถูกน้ำท่วมเสียหายหมด ประชาชนในพื้นที่เดือดร้อนอย่างหนัก เมื่อคราวอุทกภัยใหญ่ บ้านทับกฤชใต้ถูกน้ำท่วมนานกว่า 3 เดือน พืชผลเกษตรเสียหายหมด แต่กลับมีพืชอยู่ชนิดหนึ่งที่ถูกน้ำท่วมนานก็สามารถทนอยู่ได้ หลังจากน้ำลดลงพืชชนิดนั้นกลับให้ผลผลิตดีมาก นั่นก็คือ “ไผ่อินโดจีน” เป็นไผ่รับประทานหน่อสายพันธุ์หนึ่งที่ คุณนิรุต ผลพิกุล อยู่บ้านเลขที่ 4/1 หมู่ที่ 6 บ้านทับกฤชใต้ อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ปลูกอยู่ 12 ไร่ คุณนิรุต กล่าวว่า พื้นที่สวนไผ่ของตนถูกน้ำท่วมนานกว่า 3 เดือน ระดับน้ำสูงประมาณ 3 เมตรครึ่ง หลังจากระดับน้ำลดลงก็พบว่า ไผ่อินโดจีนที่ปลูกอยู่ในพื้นที่ 12 ไร่ ยังยืนต้นอยู่ได้ไม่ล้มตาย จะมีตายก็เฉพาะไผ่ต้นอ่อนๆ เพิ่งจะลงปลูกใหม่ไม่ถึงปี นอกนั้นไม่ตาย “จะว่าไผ่น้ำท่วมไม่ตายเสียทุกสายพันธุ์ก็ไม่ได้ เพราะละแวกบ้านที่ปลูกไผ่สีสุก ไผ่รวก และไผ่อื่นๆ ถูกน้ำท่วมตายหมด มะพร้าวที่ว่าแน่ๆ ยังตาย จ
หากชาวนาคนไหนอยากเดินห่างความจน ขอแนะนำให้ใช้เคล็ดลับทำนาให้ได้ผลผลิตดี กำไรงาม ของ “คุณธำรง ทัศนา” เกษตรกรจังหวัดราชบุรี ที่สะสมประสบการณ์การทำนามากว่า 20 ปี จนได้ผลผลิตคุณภาพดีสม่ำเสมอ สร้างผลกำไรสูง เป็นเกษตรกรต้นแบบของการพัฒนาอาชีพการทำนาสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน คุณธำรง มีอาชีพทำนาบนเนื้อที่กว่า 50 ไร่ใน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี เขาช่วยครอบครัวทำนามาตั้งแต่วัยเด็ก ตั้งแต่ไม่รู้อะไรเลย ลองผิดลองถูก เรียนรู้ขั้นตอนการไถนา ถอนกล้า เกี่ยวข้าวด้วยมือ ลงมือเรียนรู้การทำนาด้วยตัวเอง จนได้ข้อสรุปว่า ต้องปลูกดูแลอย่างไร จึงให้ได้ผลผลิตที่ดี พัฒนาจนกลายเป็นเทคนิคของตัวเองในที่สุด และยังได้รับรางวัลการันตีมาแล้วมากมาย เช่น รางวัลเกษตรกรดีเด่นสาขาอาชีพทำนาจังหวัดราชบุรี, รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ต้นทุนการผลิตข้าวเฉลี่ยต่อไร่ต่ำสุดระดับประเทศ ปี2556, เกษตรกรดีเด่น สาขาอาชีพทำนาระดับเขต, รางวัลคนดีศรีปากท่อ สาขาเกษตร และรางวัลศูนย์ข้าวชุมชนดีเด่น ระดับประเทศ ปี2550 เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ แม้วันนี้ อาชีพทำนา ยังไม่ร่ำรวย แต่สร้างผลกำไรงาม สร้างเงินทุนสะสมก้อนโตให้กับคุณธำรงได้ หากใครทำนา ด้วยใจ
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ที่จ.นครราชสีมา จากสถานการณ์ฝนทิ้งช่วงในหลายพื้นที่ของจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะที่อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ภัยแล้งเริ่มส่งผลกระทบต่อนาข้าว ทำให้ต้นข้าวในหลายพื้นที่ยืนต้นตาย เนื่องจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ห้วย หนอง คลอง บึง ต่างๆ เหลือปริมาณน้ำเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ ไม่มีฝนตกลงมาเพิ่ม ทำให้น้ำที่เหลือมีความเค็มจากเกลือธรรมชาติที่ผสมในชั้นดิน ไม่สามารถสูบมาใช้ทำการเกษตรได้ แต่พบชาวนาหลายคน พยายามต่อสู้กับปัญหาภัยแล้งอย่างไม่ย่อท้อนายน้อม ทัปกลาง ชาวนาบ้านสระแทด ต.ตลาดแค อ.โนนสูง กล่าวว่า หลังปัญหาภัยแล้ง ขาดแคลนน้ำทำการเกษตร ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ พร้อมต่อท่อน้ำกับระบบสปริงเกลอร์ ปล่อยน้ำให้เป็นละอองฝอยสร้างความชุ่มชื่นให้ต้นข้าว ทดแทนการสูบน้ำใส่ต้นข้าวโดยตรง ซึ่งวิธีนี้นอกจากสร้างความชุ่มชื่นให้ต้นข้าวแล้ว ยังลดความเค็มของน้ำที่จะทำให้ต้นข้าวตาย โดยทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง แล้วแต่สภาพอากาศ แม้จะเพิ่มต้นทุน ค่าอุปกรณ์สปริงเกลอร์ ท่อน้ำ และปั๊มน้ำ แต่อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถนำกลับมาใช้ได้อย่างต่อเนื่อง “อยากให้เพื่อนเกษตรกรที่ประส
นายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562 ให้ช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา โดยให้เป็นปัจจัยการผลิตกับเกษตรกร ในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา 13 ทุ่ง และพื้นที่งดทำนาปรัง มาปลูกพืชผัก พืชไร่ ใช้น้ำน้อยช่วงฤดูแล้งนี้ โดยเกษตรกรต้องไม่เคยเข้าร่วมโครงการที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลทุกโครงการในฤดูกาลที่ผ่านมา จะจ่ายให้เกษตรกร ครัวเรือนละ 1 สิทธิ์ ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร ตามพื้นที่ปลูกจริงอัตราไร่ละ 600 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ เป็นเงินประมาณ 9,000 บาท ในพื้นที่เป้าหมาย 4.87 ล้านไร่ เกษตรกร 330,000 ครัวเรือน กรอบวงเงิน 2,932 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอดำรงชีพ ลดภาระค่าครองชีพพร้อมกับการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรรักษาศักยภาพการผลิต ส่งผลให้คุณภาพชีวิตมั่นคงเข้มแข็งในการประกอบอาชีพ จากการคาดการณ์ของกรมอุตนิยมวิทยาว่า ฤดูฝนมาช้า และอาจยาวนานถึงปลายเดือนพฤษภาคม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรช่วงฤดูแล้ง ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังส่งเสริมเกษตรกรปลูกพืชใช้น้ำน้อย ลดความเสี่ยง
นายลักษณ์ วจนานวัช รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณ 2,922 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพเกษตรกร ตามโครงการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62 รายละ 600 บาท ไม่เกิน 15 ไร่/ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ 4.87 ล้านไร่ และมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและค่าธรรมเนียมโอนเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน 2.27 ล้านบาท และงบบริหารโครงการฯ วงเงิน 8.15 ล้านบาท ซึ่งจะใช้งบของกรมส่งเสริมการเกษตร ทั้งนี้ วัตถุประสงค์โครงการฯ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกพืชหลังนา ปี 2561/62 ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการน้ำที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ค่าสูบน้ำ ค่าไฟฟ้า และค่าน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องสูบน้ำ และการบริหารจัดการศัตรูพืชสูงกว่าฤดูกาลปกติ โดยเป็นกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกพืชอื่นๆ ในนา เช่น พืชไร่ พืชผัก พืชใช้น้ำน้อย ยกเว้นอ้อยและสับปะรด นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. อนุมัติงบช่วยเหลือตามโครงการฯ ใน 3 พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ได้แก่ ชัยนาท นครสวรรค์ สิงห์บุรี ลพบุรี อยุธยา สระบุร
จากอาชีพทำการเกษตร โดยเฉพาะการทำนา คลุกคลีกับกระบวนการทำนาข้าวมาหลายสิบปี คุณเลียน อ่อนสุระทุม สมาชิกกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวบ้านดงสวรรค์ ต.ไฮหย่อง อ.พังโคน จ.สกลนคร จึงเกิดแนวความคิด ประดิษฐ์เครื่องมือสำหรับการโรยเมล็ดพันธุ์ข้าวงอกราคาประหยัด ไม่ก่อมลพิษ ช่วยลดต้นทุนการปลูกข้าว คุณเลียน เผยว่า แนวคิดนี้เริ่มมาจากต้องการประหยัดต้นทุนการเพาะปลูก เริ่มจากเห็นเครื่องมือโรยแถวเมล็ดพันธุ์ข้าวแห้ง ที่มีการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ใช้น้ำมัน มองว่าทำให้เกิดต้นทุนการผลิตและเกิดปัญหากับสิ่งแวดล้อม จึงคิดประดิษฐ์เครื่องมือชนิดนี้ขึ้นมา นอกจากจะลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิงแล้ว ยังใช้อัตราเมล็ดพันธุ์ข้าวน้อยลง และทดแทนแรงงานปักดำที่นับวันจะมีค่าแรงสูงขึ้น นับวันแรงงานจะหายากขึ้นเรื่อยๆ “แนวคิดอีกอย่างคือ ผมต้องการให้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่ถูกโรยออกมาจากเครื่องมีลักษณะเป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีระยะห่างที่เท่ากันและเรียงกันเป็นแถวเป็นแนว เพื่อที่ว่าเมื่อเมล็ดข้าวงอกเป็นต้นแล้ว จะขึ้นเป็นกอคล้ายกับการปักดำ และที่สำคัญการเว้นช่องว่างระหว่างกอข้าวนั้น ช่วยลดปัญหาของโรคและแมลงศัตรูข้าวได้” คุณเลียน กล่าวอีกว่า เริ่ม
เกษตรฯ สั่งสำรวจเจ้าสัวตั้ง บริษัท ทำนา-ให้เช่าที่ทำเกษตร หวั่นกระทบแผนปรับโครงสร้างเกษตรฉุดราคาร่วง-ชาวนาแห่ปลูกข้าวเกินแผนแล้ว 1 ล้านไร่ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ เตรียมสำรวจพื้นที่ทำการเกษตรใหม่อีกครั้ง หลังภาษีที่ดินฉบับใหม่บังคับใช้ ทำให้เจ้าของที่ดิน เจ้าสัว ต่างจัดตั้งบริษัททำการเกษตรให้พื้นที่เพื่อเช่า จะไม่เข้าเกณฑ์เสียภาษีที่ดิน ที่ไม่ทำประโยชน์ กระทรวงเกษตรฯ สำรวจพื้นที่ทำการเกษตรครั้งนี้ เพราะกังวลว่าจะกระทบกับแผนการปฏิรูปภาคผลิตด้านการเกษตร ที่ขณะนี้รัฐบาลกำลังเดินหน้า ตามนโยบายการตลาดนำการผลิต เพราะกังวลว่า หากมีการทำการเกษตรเพิ่มขึ้น ผลกระทบจะเกิดกับราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ และกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปการผลิตภาคเกษตร “ปีก่อนหน้า เกษตรจังหวัด เกษตรอำเภอ ลงสำรวจพื้นที่ทำการเกษตร ซึ่งเป็นการดำเนินการทุกปี และเมื่อมีเรื่องของภาษีที่ดิน กระทรวงเกษตรฯ ก็กังวลว่าเจ้าสัว หรือผู้ถือครองที่ดินจะเลี่ยงภาษี ที่จะต้องเสียหากทิ้งที่ดินว่างเปล่าเช่นที่เคยทำมา หันมาทำการเกษตร ปลูกกล้วย ปลูกอ้อย ปลูกแบบทิ้งขว้าง ไม่หวังผลผลิต แต่หากมีการต