น้ำ
“น้ำ” เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์และเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย แต่บางประเทศก็พบปัญหาการขาดแคลนน้ำ ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในพื้นที่แห้งแล้งในส่วนใหญ่เกิดจากฝนแล้งและฝนทิ้งช่วง โดยสภาวะฝนแล้งคือภาวะที่ปริมาณฝนตกมีน้อยกว่าปกติ หรือไม่ตกตามฤดูกาล ภัยแล้งลักษณะนี้เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในยุคที่การเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก นักวิจัยและนักพัฒนากำลังมองหาวิธีใหม่ๆ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ล่าสุดมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการสร้างน้ำดื่มจากอากาศ ซึ่งเป็นความก้าวหน้าที่น่าตื่นเต้นและมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการน้ำดื่มในอนาคต ระบบนี้ทำงานโดยการจับความชื้นจากอากาศและถูกเปลี่ยนเป็นน้ำดื่มที่ปลอดภัย ระบบดังกล่าวใช้หลักการทำงานที่เรียกว่า “การควบแน่น” ซึ่งมีการพัฒนาให้สามารถทำงานได้ด้วยพลังงานจากแสงอาทิตย์ โดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานไฟฟ้าแบบดั้งเดิม นวัตกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดการใช้พลังงานจากแหล่งที่มีอยู่ แต่ยังมีศักยภาพในการนำไปใช้ในพื้นที่ที่มีความต้องการน้ำดื่มสะอาดแต่ขาดแคลนไฟฟ้า วิธีการทำงานของระบบนี้เริ่มต้นจากการด
กำนันเกรียงศักดิ์ ชิตเจริญ อยู่บ้านเลขที่ 9/2 หมู่ที่ 1 ตำบลบางน้ำผึ้ง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ได้มีวิธีการจัดการน้ำเพื่อการเกษตรด้วยการลงมือทำด้วยตนเอง เพราะพื้นที่บริเวณนี้คนทั่วไปมองว่าไม่สามารถปลูกพืชผลทางการเกษตรได้ กำนันเกรียงศักดิ์ เล่าว่า เนื่องจากสมัยก่อนพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นที่รกร้างมาก่อน จึงได้ขอเช่าจากเจ้าของที่ดินเพื่อมาใช้ประโยชน์ทำการเกษตรสร้างรายได้ “พื้นที่บริเวณนี้มันปลูกอะไรไม่ค่อยได้ เพราะว่าน้ำเค็มมันมา ผมก็เลยอยากจะลองทำเกษตร กักน้ำจืดไว้ใช้เพื่อสู้กับน้ำเค็ม เพราะหลัง 2 ปีมานี่ เราวิกฤตเรื่องน้ำ พอน้ำมาน้อย น้ำทะเลมันก็จะหนุนมา ทำให้พื้นที่แถวนี้กลายเป็นมีน้ำเค็ม 10 เดือน น้ำจืด 2 เดือน ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลดีอีกอย่างกับผลไม้บางชนิด เพราะปลูกที่นี่จะมีรสชาติที่หวาน อย่างเช่น มะม่วง กล้วยหอม” กำนันเกรียงศักดิ์ กล่าว สังเกตน้ำเค็มจะหนุนมา สังเกตได้จากสัตว์น้ำตามธรรมชาติ กำนันเกรียงศักดิ์ บอกว่า วิธีที่จะรู้ได้ดีที่สุดเวลาที่น้ำเค็มจะเข้ามาในพื้นที่ สังเกตจากปลาเสือที่ว่ายน้ำเข้ามาในพื้นที่เพื่อมาอยู่ในบริเวณน้ำจืด ก็จะเตรียมขังน้ำไว้ โดยปิดที่กันที
ว่าที่ร้อยตรีสมพูนทรัพย์ กล้าวิกรณ์ เลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัญหาภัยแล้งคุกคามภาคการเกษตรทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เกษตรกรเดือดร้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ผ่านมาสภาเกษตรกรแห่งชาติได้ประสานไปยังกระทรวงพลังงาน โดยสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อขอการสนับสนุนระบบสูบน้ำจากบ่อบาดาลด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ภายใต้โครงการสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์(โซล่าเซลล์) ซึ่งเมื่อปีงบประมาณ 2562 สภาเกษตรกรแห่งชาติได้ขอการสนับสนุนงบประมาณ 300 บ่อ ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม ได้รับงบประมาณสนับสนุนประมาณ 27 ล้านบาท จังหวัดร้อยเอ็ด ประมาณ 20 ล้านบาท จังหวัดศรีสะเกษ ประมาณ 19 ล้านบาท จังหวัดอำนาจเจริญ ประมาณ 3.9 ล้านบาท จังหวัดนครราชสีมา ประมาณ 3 ล้านบาท ทั้งนี้ จากการพูดคุยกับเกษตรกรที่ได้รับการสนับสนุนมีความพึงพอใจเพราะสามารถลดต้นทุนการผลิต ค่าไฟไม่ต้องเสีย การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย น้ำที่ได้จากการสูบด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์นำไปใช้เพื่อกิจกรรมในช่วงฤดูแล้งที่ปกติไม่มีน้ำใช้เพื่อการประกอบอาชีพ อาทิเช่น ปลูกพืชผักสวนครัว พืชไร่
“เกาะเสม็ด” ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดระยอง “สริญทิพญ ทัพมงคลทรัพย์” นายกสมาคมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะเสม็ด และผู้ประกอบการ Seahorse Greenplace Resort เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เกาะเสม็ด คือ เพชรเม็ดงามของเมืองระยอง ที่สร้างเงินให้แก่ภาคการท่องเที่ยวของจังหวัดมากกว่า 70% โดยมีเนื้อที่กว่า 4,200 ไร่ ผู้อยู่อาศัย 800 กว่าครัวเรือน แบ่งเป็น ชาวบ้านที่ทำอาชีพประมงประมาณ 20% และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว 80% มีแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม เช่น หาดทรายแก้ว อ่าววงเดือน และหาดแสงเทียน รวมถึงอ่าวที่ยังคงความเป็นธรรมชาติอีกมากมาย แต่ปัจจุบันชาวบ้านและผู้ประกอบการบนเกาะที่มีรกรากอยู่ก่อนแล้ว กลับกลายเป็นเพียงผู้อาศัย ไม่มีสิทธิ์ครอบครองเป็นเจ้าของที่ดิน พื้นที่บนเกาะกลายเป็นเขตอุทยาน และเป็นพื้นที่ทับซ้อนกับกรมธนารักษ์ไปแล้ว ทั้งนี้ ทำให้เกาะเสม็ดมีปัญหาในด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น น้ำจืด ที่ไม่สามารถต่อท่อนำขึ้นมาใช้บนเกาะได้ด้วยเพราะติดข้อกฎหมาย ทำให้ชาวบ้านและผู้ประกอบการต้องใช้เรือลำเลียงน้ำจืดเข้ามา ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ประมาณ 3,700 บาท/เที่ยวเรือ หรือเฉ
เมื่อเกิด “น้ำท่วม” ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ในพื้นที่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด แทบทุกครั้ง “ผังเมือง” จะกลายเป็นจำเลยว่าจัดวางผังการใช้ประโยชน์ที่ดินหละหลวม ไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ กีดขวางทางระบายน้ำ จนทำให้เกิด “อุทกภัย” ครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการแก้ปัญหาน้ำท่วมและอุทกภัยอย่างยั่งยืน ในระยะยาว “กรมโยธาธิการและผังเมือง” กำลังเร่งทำผังการระบายน้ำจังหวัดในลุ่มน้ำทั้ง 25 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ ใช้เวลาดำเนินการ 4 ปี (2558-2561) งบประมาณ 730 ล้านบาท ความคืบหน้าล่าสุด “มณฑล สุดประเสริฐ” อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ”ว่ากรมจะเร่งรัดการวางผังการระบายน้ำจังหวัดในลุ่มน้ำครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ จำนวน 25 ลุ่มน้ำ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2561 “แนวทางจะจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมในระดับลุ่มน้ำและระดับจังหวัด แก้ไขปัญหาสิ่งก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานที่กีดขวางทางระบายน้ำ จัดทำผังระบบการระบายน้ำของจังหวัด โครงการป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ชุมชน และกำหนดพื้นที่ทางน้ำหลากหรือฟลัดเวย์ พร้อมกับมาตรการด้านผังเมือง ต้องมีการหารือร่วมกันหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อ
เนื่องจากในปัจจุบัน (มกราคม 2561) การจัดการน้ำทั้งโครงการที่ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และโครงการที่จะพัฒนาขึ้นมาใหม่ เมื่อพิจารณาถึงในแง่วิชาการที่นำมาประยุกต์ใช้ ส่วนใหญ่ยังใช้วิธีการเก่าๆ เมื่อ 40 ปีที่แล้วอยู่ จึงทำให้การแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งมีคุณภาพค่อนข้างต่ำ สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำที่จะกล่าวถึงนี้ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการน้ำทั้งกรณีที่เกิดน้ำท่วม กรณีปกติ และกรณีที่เกิดภัยแล้งด้วยมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง ซึ่งจะขอยกตัวอย่างเฉพาะที่เห็นว่ามีความสำคัญมากที่สุดมาเพียงมาตรการเดียวก่อน คือ การปฏิรูปหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องให้เป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติงานเฉพาะทางดังเช่นประเทศที่เจริญแล้วได้ยึดถือปฏิบัติกันมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 50 ปี ทั้งนี้ก็เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ดังตัวอย่าง เช่น ในปี พ.ศ.2517-2518 รวมเวลา 1 ปี ผู้เขียนมีโอกาสไปปฏิบัติงานกับบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาขนาดใหญ่ในประเทศแคนาดา คือ บริษัท เอเคอร์ (Acres Consulting Services Limited) ซึ่งสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ใกล้กับน้ำตกไนแอการา (Niagra Falls, Ontario, Canada) ที่สำนักงานใหญ่
ครม.ได้อนุมัติในหลักการการให้เตรียมความพร้อมสำหรับ โครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา โดยโครงการนี้เป็น 1 ใน 9 แผนงานการบรรเทาอุทกภัยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างที่คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการแล้วเช่นกัน ทั้งนี้ตามแผนการพัฒนาโครงการบรรเทาอุทกภัยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง จะประกอบไปด้วยโครงการหลัก 4 โครงการด้วยกันคือ โครงการระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร วงเงิน 17,600 ล้านบาท, โครงการคลองระบายน้ำหลากฝั่งตะวันออก (คลองชัยนาท-ป่าสัก-อ่าวไทย) วงเงิน 122,888 ล้านบาท, โครงการคลองระบายน้ำคู่ถนนวงแหวนรอบที่ 3 วงเงิน 124,000 ล้านบาท และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา (คลองถนน-อุโมงค์ระบายน้ำ 4 แห่ง) วงเงิน 24,100 ล้านบาท คลองบางบาล-บางไทร โครงการนี้แม้ว่า ครม.จะมีมติเห็นชอบในหลักการเป็นโครงการแรก แต่เป็นการเห็นชอบเฉพาะ “การเตรียมความพร้อม” ยังไม่อนุมัติในแผนงานและงบประมาณ โดยรายละเอียดของโครงการจะประกอบไปด้วยการขุดคลองระบายน้ำสายใหม่จากบริเวณ อ.บางบาล-อ.บางไทร พร้อมอาคารประกอบตามแนวคลองระยะทาง 22.4 กิโ
ชาวนาในเขตตำบลหินโงม นำข้าวมาตากไว้บนถนนของเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง เป็นระยะทางยาวราว 1 กิโลเมตร และตามลานวัด เหตุมีการเก็บเกี่ยวพร้อมกัน และต้นข้าวถูกลมพัดล้ม ต้องเร่งเก็บเกี่ยว จนไม่มีพื้นที่ในการตากข้าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงนี้ชาวนาในเขตอำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย โดยเฉพาะในเขตตำบลงินโงม ได้นำข้าวเปลือกที่เพิ่งเก็บเกี่ยวและนวดเสร็จมาตากตามถนนของเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขง เพื่อให้ข้าวแห้งก่อนนำไปขายหรือเก็บไว้ในยุ้งข้าว ทำให้ถนนมีข้าวเปลือกตากยาวเป็นระยะทางราว 1 กิโลเมตร นอกจากนี้ตามลานวัดต่าง ๆ ในหมู่บ้านก็มีชาวบ้านนำข้าวเปลือกมาตากจนเต็มพื้นที่ สำหรับสาเหตุที่ทำให้ต้องมีการนำข้าวเปลือกมาตากถนนและตามลานวัด เนื่องจากมีการเก็บเกี่ยวในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ประกอบกับต้นข้าวบางส่วนถูกลมพัดจนล้ม จึงต้องรีบเก็บเกี่ยว ส่งผลให้ข้าวมีความชื้นสูง หากนำไปขายก็จะถูกกดราคา และหากนำไปเก็บไว้ในยุ้งฉางทันทีก็จะทำให้ข้าวเสียหายจากเชื้อรา ส่วนที่ต้องเลือกตากบนถนนและตามลานวัดที่เป็นคอนกรีต เนื่องจากไม่มีพื้นที่ตาก เพราะต้องเตรียมพื้นที่ในการปลูกพืชชนิดอื่นต่อไป และที่สำคัญการตากบนถนนและตามลา
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รายงานสถานการณ์อุทกภัยน้ำไหลหลาก และน้ำเอ่อล้นตลิ่งจากอิทธิพลของพายุดีเปรสชั่นและการระบายน้ำจากเขื่อนเจ้าพระยาตั้งแต่วันที่ 10-29 ตุลาคม 2560 ทำให้เกิดน้ำไหลหลากและน้ำเอ่อล้นตลิ่งในพื้นที่ 23 จังหวัด รวม 78 อำเภอ 473 ตำบล 2,785 หมู่บ้าน 42 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 125,372 ครัวเรือน 325,212 คน มีผู้เสียชีวิต 10 ราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลุ่มน้ำเจ้าพระยา 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง-พยุหะคีรี-โกรกพระ-ชุมแสง รวม 39 ตำบล 349 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 15,763 ครัวเรือน 33,097 คน, จังหวัดอุทัยธานี น้ำท่วมในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง-ทัพทัน รวม 7 ตำบล 35 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 1,788 ครัวเรือน 2,923 คน, จังหวัดสิงห์บุรี น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง-อินทร์บุรี-พรหมบุรี และอำเภอท่าช้าง รวม 19 ตำบล 84 หมู่บ้าน 6 ชุมชน ประชาชนได้รับผลกระทบ 6,295 ครัวเรือน 16,367 คน, จังหวัดลพบุรี น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่อำเภอบ้านหมี่ รวม 9 ตำบล 60 หมู่บ้าน ประชาชนได้
คําแถลงล่าสุดอันมาจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ว่าจะโดย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ไม่ว่าจะโดยนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ สำคัญ เพราะเป็นเรื่องของคณะทำงานวางแผนการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งใช้เวลาประชุมต่อเนื่องยาวนานกว่า 4 ชั่วโมง เพราะเป็นเรื่องที่อาจต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท เป็นเพียง “แผนงาน” อันนำเสนอจากกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำเป็นต้องนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ก่อนผ่านการอนุมัติเห็นชอบจาก“ครม.” นี่คือโครงการระดับใหญ่ ระดับยักษ์ อย่างที่เรียกกันว่า MEGA PROJECT ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโครงการรถไฟความเร็วสูง เป็นโครงการที่มาพร้อมกับ “อุทกภัย” ถามว่าโครงการในระดับ มหึมา มหาศาล หรือ MEGA ระดับนี้เคยมีหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับน้ำ หรืออุทกภัย ตอบได้ว่า มี อย่างน้อยตอนที่มีการวางแผนและนำเสนอผ่าน “คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ” (กยน.) ในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็กำหนดไว้ 75,000 ล้านบาท นั่นก็เกิดขึ้นภายหลังประสบสิ่งที่เรียกว่า “มหาอุทกภัย” ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2554 เป้าหมายก็เพื่อสร้าง