ปุ๋ย
กรมเหมืองแร่เล็งชงแผนผลิตปุ๋ยแห่งชาติล้อยุทธศาสตร์ 20 ปี ให้กระทรวงอุตฯ หวังยกระดับรายได้ภาคเกษตรหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง อ้อน ‘บีโอไอ’ ให้สิทธิประโยชน์เอกชนลงทุนวัตถุดิบปุ๋ยต่างประเทศป้อนโรงงานในไทย รายงานข่าวจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) แจ้งว่า ขณะนี้ กพร. อยู่ระหว่างจัดเตรียมข้อมูลเพื่อเสนอต่อ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมให้พิจารณาและเสนอต่อรัฐบาล ในการกำหนดให้ประเทศไทยมีการผลิตปุ๋ยเพื่อการเกษตรจากแร่หลัก 3 ชนิด คือ ไนโตรเจนที่สร้างใบ ฟอสฟอรัสสร้างดอก และโพแทสเซียมสร้างผล โดยแผนการผลิตดังกล่าวจะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2559-2579) ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ มั่นใจว่าจะมีส่วนสำคัญในการยกระดับรายได้ของเกษตรกรไทยหากได้ใช้ปุ๋ยราคาถูกที่ผลิตในประเทศ จะทำให้มีรายได้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นและช่วยให้ไทยพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง เห็นผลภายในช่วง 5 ปีจากนี้ เร็วกว่าการลงทุน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายว่าช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) ของประเทศให้ขยายตัวมากกว่า 5% ซึ่งอุตสาหกรรมเป้าหมายจะใช้เวลาถึง 10 ปี รายงานข่าวระบุว่า
รายงานข่าวจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่(กพร.) แจ้งว่า ขณะนี้กพร.อยู่ระหว่างจัดเตรียมข้อมูลเพื่อเสนอต่อ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้พิจารณาและเสนอต่อรัฐบาล ในการกำหนดให้ประเทศไทยมีการผลิตปุ๋ยเพื่อการเกษตรจากแร่หลัก 3 ชนิด คือ ไนโตรเจนที่สร้างใบ ฟอสฟอรัสสร้างดอก และโพแทสเซียมสร้างผล โดยแผนการผลิตดังกล่าวจะสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี(2559-2579)ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ มั่นใจว่าจะมีส่วนสำคัญในการยกระดับรายได้ของเกษตรกรไทยหากได้ใช้ปุ๋ยราคาถูกที่ผลิตในประเทศ จะทำให้มีรายได้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นและช่วยให้ไทยพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ซึ่งปัจจุบันไทยมีศักยภาพในการผลิตโพแทสเซียม แต่ยังไม่สามารถผลิตได้ทำให้ภาคเกษตรกรรมต้องนำเข้ามาใช้ในประเทศสูงถึง 1 ล้านตันต่อปี และปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมได้อนุมัติประทานบัตรให้กับเอกชน 2 ราย คาดว่าจะมีผลิตแร่โพแทชออกสู่ตลาดได้ตั้งแต่ปี 2561-2562 นี้ ขณะที่แร่ 2 ชนิดที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของปุ๋ย คือ ไนโตรเจนจากอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีศักยภาพในการผลิตภายในประเทศต่ำมาก กพร.จึงเตรียมเสนอรัฐบาลให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการ
ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรลำดับต้น ๆ ของโลก ทำให้เคมีภัณฑ์การเกษตรเป็นสินค้าที่มีความสำคัญตามไปด้วย แต่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 ความต้องการปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืชค่อนข้าง “ชะลอตัว” จากปัญหาภัยแล้งโดยเฉพาะนาข้าว สำหรับปี 2560 ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าความต้องการปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืชจะมีแนวโน้มสดใสขึ้น เพราะปริมาณน้ำในเขื่อนอยู่ในระดับสูงกว่าปีที่ผ่านมา จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากภัยแล้งมากนัก แต่ยังต้องติดตามราคาสินค้าเกษตร ซึ่งมีผลต่อปริมาณการใช้เคมีภัณฑ์การเกษตรด้วย เอสเอ็มอีอาจเน้นขายปุ๋ยให้กับเกษตรกรที่ปลูกอ้อย ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ที่ราคาไม่ผันผวนหรือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และเน้นจำหน่ายยาปราบศัตรูพืช เช่น ยาแก้เชื้อรา ยากำจัดวัชพืช ที่จะระบาดในช่วงที่มีน้ำมาก ตลาดปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืชในประเทศไทย ที่มีมูลค่าสูงถึงปีละกว่า 1 แสนล้านบาท ส่งผลให้มีผู้ประกอบการในธุรกิจจำนวนมาก ทำให้การแข่งขันสูงตามไปด้วย แต่มีเพียงผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่รายที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเอาไว้ เนื่องจากได้เปรียบจากการสั่งซื้อครั้งละมาก ๆ ทำให้มีอำนาจต่อรองและ
อันดับแรก ขออธิบายถึงธรรมชาติของดินในสองภูมิภาคที่กล่าวมา เริ่มจากภาคกลาง ดินส่วนใหญ่เป็นดินเหนียว ที่เกิดจากการทับถมของตะกอนดิน ดินจึงมีปริมาณธาตุโพแทสเซียม (K) อย่างเพียงพอสำหรับความต้องการของต้นข้าว ปุ๋ยสูตร 16-20-0 เหมาะสมกับการให้ผลผลิต และค่าใช้จ่ายในการใช้ปุ๋ย ส่วนดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น โดยเฉลี่ยมีลักษณะเป็นดินทราย หรือดินเหนียวปนทราย ดินประเภทนี้จะขาดธาตุโพแทสเซียม (K) ดังนั้น ปุ๋ยที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดคือ ปุ๋ยสูตร 16-16-8 หรือสูตรใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม ควรนำดินไปวิเคราะห์หาความอุดมสมบูรณ์ของดินทุกๆ 3 ปี เพื่อปรับปรุงการใส่ปุ๋ยลงในนา เพราะธาตุฟอสฟอรัส (P) อาจมีมากเกินความต้องการ หากลดการใช้ธาตุฟอสฟอรัสลง ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ในทำนองเดียวกัน เพราะว่าธาตุดังกล่าวมีราคาค่อนข้างแพง ด้วยแนวคิดดังกล่าว กรมวิชาการเกษตรจึงมีโครงการแนะนำการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน และโครงการคล้ายกันของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับภาคเอกชน จัดทำโครงการปุ๋ยสั่งตัด หรือใส่ปุ๋ยที่เหมาะสมกับความต้องการของพืชปลูกเช่นเดียวกับตัดเสื้อให้พอดีตัวผู้ใส่ ในแง่วิชาการประเทศไทยไม่เคยด้อยกว่าประเทศอื่นใ
ในขณะที่ราคาพืชผลทางการเกษตรมีราคาตกต่ำ และรัฐบาลก็ไม่มีนโยบายเกี่ยวกับการประกันราคา ทางรอดของเกษตรกรจึงมีอยู่ทางเดียวคือ ต้องเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น โดยผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง ในขณะที่อีกวิธีการหนึ่งที่สามารถเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นได้อย่างเด่นชัดและแน่นอนคือ การใช้ปุ๋ยอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เพราะในปัจจุบันเกษตรกรส่วนมากยังใช้ปุ๋ยไม่ถูกสูตร ไม่ถูกเวลา และปริมาณไม่ถูกต้อง ทำให้ได้ผลผลิตต่ำและมีต้นทุนการผลิตที่สูง คุณวีรวัฒน์ นิลรัตนคุณ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการผลิตพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่ ภาคเหนือตอนล่าง สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 กรมวิชาการเกษตร ได้กล่าวว่า การขาดความรู้เกี่ยวกับปุ๋ยและสูตรปุ๋ย ทำให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยไม่ถูกต้องคือ ผิดชนิด ผิดเวลา และผิดปริมาณ ทำให้มีต้นทุนการผลิตที่สูง แต่มีผลตอบแทนต่ำ ซึ่งมีตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดคือ การปลูกข้าวในเขตภาคกลางของประเทศ “กล่าวคือ ชาวนาในเขตภาคกลางส่วนมากจะใส่ปุ๋ยครั้งที่ 1 หรือปุ๋ยรองพื้นด้วยปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ในอัตราที่สูงมาก คือ 25-50 กิโลกรัม ต่อไร่ เพื่อเร่งให้ต้นข้าวมีสีเขียวและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็