ภูมิภาคอาเซียน
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้า (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิส ติกส์ภาคการเกษตร ระยะ 5 ปี ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตร ในคราวการประชุม ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งมี ดร. ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานอนุกรรมการฯ เป็นประธานการประชุม ได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร (พ.ศ. 2566-2570) ตามที่ สศก. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์สาขาเกษตรเชื่อมโยงกับแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย (พ.ศ. 2566-2570) ที่ดำเนินการโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำหรับสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร มีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ภาคการเกษตร ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์เกษตรของภูมิภาคอาเซียน” มีตัวชี้วัด ได้แก่ ต้นทุน โลจิสติกส์สินค้าเกษตรที่สำ
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนาม MOU กับ กรมปศุสัตว์ บริษัท พรีเมี่ยมบีฟ และ ธ.ก.ส. พัฒนาโคเนื้อคุณภาพสูงจากฝูงโคนม สร้างโอกาสเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทย เฉลี่ย 10,000-20,000 บาท ต่อตัว รองรับความต้องการบริโภคเนื้อวัวคุณภาพภายในประเทศ ตอกย้ำการเป็น Beef Destination พร้อมวางแผนต่อยอดสู่การส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน นางสาวธีราพร ธีรทีป ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสินค้าอาหารสด บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคเนื้อวัวคุณภาพสูงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป ต่างให้ความไว้วางใจกับการเลือกซื้อเนื้อวัวที่วางจำหน่ายในสาขาของแม็คโคร เพราะคุณภาพและความหลากหลาย โดยเฉพาะเนื้อโคขุนจากเกษตรกรไทยที่ได้รับการยอมรับไม่แพ้เนื้อนำเข้าจากต่างประเทศ และตลาดยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ แม็คโคร จึงร่วมกับ กรมปศุสัตว์ พัฒนาเนื้อโคขุนหลากหลายสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงพัฒนาเนื้อวัวคุณภาพสูงจากฝูงโคนม โดยได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) ร่วมกัน พร้อมด้วย บริษัท พรีเมี่ยมบีฟ และธนาคารเพื่อการเกษตรแล
8 เมษายน 2564 สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ The Civil Aviation Authority of Thailand (CAAT) ร่วมกันเปิดตัวศูนย์ฝึกอบรมระบบอากาศยานไร้คนขับ (Defence Technology Institute Unmanned Aircraft Systems Training Centre : DTI-UTC) ภายใต้ชื่องาน “DTI-UTC Grand Opening: Flying into the Future by DTI” เพื่อพัฒนาและยกระดับบุคลากรผู้ใช้งานอากาศยานไร้คนขับให้มีความเชี่ยวชาญทัดเทียมต่างชาติ และสร้างความเข้าใจกฎข้อบังคับต่างๆ ตามหลักการบินพาณิชย์ได้อย่างมีมาตรฐานสากลแห่งแรกของประเทศและเป็นหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน พลอากาศเอก ดร. ปรีชา ประดับมุข ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 สทป. ได้เตรียมความพร้อมตามแผนแม่บทในการพัฒนาเทคโนโลยีระบบยานไร้คนขับ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือระบบอากาศยานไร้คนขับ และด้วยความตระหนักและเล็งเห็นถึงปัญหาของหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน และจำนวนนักบินระบบอากาศยานไร้คนขับที่มีความรู้และความชำนาญอยู่ในวงจำกัด โดยเฉพาะในหน่วยงานความมั่นคงหรือทหารที่ใช้งานมานานแล้ว รวมถึงผู้ที่ใช้อากาศยานไร้คนขับท
สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในอาเซียน ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2563 เวลา 19.30 น.จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ในแต่ละประเทศ ในรอบการรายงานล่าสุด -สิงคโปร์ +768 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 21,707 ราย) -อินโดนีเซีย +336 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 13,112- -ฟิลิปปินส์ +120 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 10,463 ราย) -มาเลเซีย +68 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 6,535 ราย) -พม่า +15 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 176 ราย) ข้อมูลย้อนหลังหนึ่งวัน -ไทย +8 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 3,000 ราย) -เวียดนาม +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 288 ราย) -บรูไน +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 141 ราย) -กัมพูชา +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 122 ราย) -ลาว +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 19 ราย) ประมวลข้อมูลโดย ศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ และการวิจัยและพัฒนา สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.) พิเศษ! สมัครสมาชิกนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน, มติชนสุดสัปดาห์ และศิลปวัฒนธรรม ลดราคาทันที 40% ตั้งแต่วันนี้ – 31 พ.ค. 63 เท่านั้น! คลิกดูรายละเอียดที่นี่
สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในอาเซียน ณ วันที่ 23 เมษายน 2563 เวลา 19.30 น.จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ในแต่ละประเทศ ในรอบการรายงานล่าสุด -สิงคโปร์ +1,037 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 11,178 ราย) -อินโดนีเซีย +357 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 7,775 ราย) -ฟิลิปปินส์ +271 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 6,981 ราย) -มาเลเซีย +71 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 5,603 ราย) -ไทย +13 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 2,839 ราย) -พม่า +4 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 127 ราย) -บรูไน +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 138 ราย) -เวียดนาม +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 268 ราย) -กัมพูชา +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 122 ราย) -ลาว +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 19 ราย) ประมวลข้อมูลโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.)
สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในอาเซียน ณ วันที่ 22 เมษายน 2563 เวลา 19.30 น.จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ในแต่ละประเทศ ในรอบการรายงานล่าสุด -สิงคโปร์ +1,016 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 10,141 ราย) -อินโดนีเซีย +283 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 7,418 ราย) -ฟิลิปปินส์ +111 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 6,710 ราย) -มาเลเซีย +50 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 5,532 ราย) -ไทย +15 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 2,826 ราย) -เวียดนาม +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 268 ราย) -บรูไน +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 138 ราย) -กัมพูชา +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 122 ราย) -พม่า +2 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 121 ราย) ข้อมูลย้อนหลังหนึ่งวัน -ลาว +0 ราย (รวมติดเชื้อสะสม 19 ราย) ประมวลข้อมูลโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.)
ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เปิดเผยผลการศึกษาโดย วช. ว่า ขณะนี้ (24 มีนาคม 2563) ได้พบการติดเชื้อโรคโควิด-19 ครบทุกประเทศในอาเซียนแล้ว โดยล่าสุดเพิ่งมีรายงานการติดเชื้อจากเมียนมาร์และลาว ส่วนในประเทศอื่นๆมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยพบในประเทศมาเลเซียมากที่สุด จำนวน 1,518 ราย รองลงมาคือประเทศไทย (827 ราย), อินโดนีเซีย (686), สิงคโปร์ (509), ฟิลิปปินส์ (501), และเวียตนาม (123) ตามลำดับ ส่วนประเทศลาวและเมียนมาร์ เพิ่งรายงานผู้ติดเชื้อประเทศละ 2 ราย ทั้งนี้มี 6 ประเทศอาเซียน ที่มีผู้ติดเชื้อเกิน 100 คนแล้ว โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อแตกต่างกันเป็นสองกลุ่ม คือ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีลักษณะของเส้นกราฟที่มีความชันคล้ายคลึงกัน จำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์มีอัตราการเพิ่มขึ้นแบบช้าๆ ส่วนเวียดนามเพิ่งมีผู้ติดเชื้อถึง 100 คนเมื่อวานนี้เอง ยังต้องติดตามต่อไป ตอนนี้สถานการณ์ของของโรคโควิด-19 ในอาเซียนยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ส
กรุงเทพฯ 21 มกราคม 2563 – งานประชุมเชิงวิชาการ SEED Symposium 2020 ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมันในการส่งเสริมธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจสีเขียว ให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน ผู้ประกอบการไทยได้รับรางวัลในสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 100% จากผลิตภัณฑ์กระดาษจากฟางข้าวโดยชุมชนท้องถิ่น จากผู้ประกอบการที่สมัครเข้าแข่งขัน จำนวน 906 ราย ใน 9 ประเทศ โดยมีผู้เข้าแข่งขันแบ่งเป็นผู้ประกอบการด้านเกษตร คิดเป็นร้อยละ 43% รองลงมา ผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมรีไซเคิล คิดเป็น ร้อยละ 21% ผู้ประกอบการด้านพลังงาน คิดเป็น ร้อยละ 16% และผู้ประกอบการอื่นๆ คิดเป็น ร้อยละ 20% พร้อมผลักดันให้เข้าสู่การเป็นผู้ประกอบการเศรษฐกิจสีเขียว ดร.เลวิส อาเคนจิ ผู้อำนวยการบริหาร SEED กล่าวว่า SEED ได้ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาของผู้ประกอบการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ในการขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการและนวัตกรรมใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมผลักดันให้เข้าสู่การดำเนินธุรกิจแบบเศรษฐกิจสีเขียว โดยใน ปี 2019 มีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมโครงการ 906 ราย จา