วิถีชาวบ้าน
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้านขนมจีนยายฟัก มีนางลักษณ์ พิมพ์ปรุ(ยายฟัก) อายุ 86 ปี เป็นเจ้าของร้าน ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 28/3-4 ถนน เทศบาล 3 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ นับว่าเป็น ขนมจีนชื่อดังประจำเมืองช้าง เข้มข้น เต็มคำ ผักมาเต็ม อร่อยสุดๆ ขายดีมานานกว่า 50 ปี บอกเลยมาสุรินทร์ต้องกินร้านนี้ โดยเฉพาะ น้ำยาไก่ ขายดีกว่าวันละ 3 หม้อยักษ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จุดเริ่มต้นเมื่อ 50 ปี ก่อนยายฟักจะตระเวนหาบขนมจีนขาย ขนมจีน 3 หัว 3 สลึง พอมีลูกค้าติดใจ เริ่มมาวางขายที่หน้าบ้าน เริ่มต้น เพียง 4-5 โต๊ะ จวบจนปัจจุบันมีกว่า 30 โต๊ะ ขายขนมจีน น้ำยา หลากหลาย อาทิ น้ำยาแกงไก่ น้ำยาปลาทู น้ำยากะทิ น้ำยาน้ำพริกหวาน และน้ำยาลาวในราคา จานละ 30 บาท พิเศษ 40 บาท ตีสี่ของทุกๆวัน คุณยายฟักจะนั่งรถสามล้อรับจ้าง ไปเลือกวัตถุดิบคุณภาพด้วยตัวเอง เพื่อทำน้ำยาขนมจีนที่ตลาดสดเทศบาลเมืองสุรินทร์ และจะเลือกเส้นขนมจีน สั่งตรงจาก จ.นครราชสีมา บ้านเกิด เพราะเส้น สด เหนียว นุ่ม นอกจากนี้ ยังมีการจัดชุดขนมจีน น้ำยาชนิดต่างๆ และของหวานใส่ถุง เพราะจากความนิยมบริโภคของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาอุดหนุนอย่างไ
ตลาดทางเลือก สิ่งที่เลือกได้อาหารที่ไม่ผูกขาด เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไปตลาดทางเลือกมา ชื่อตลาดป่าไผ่ อยู่ที่ ควนขนุน พัทลุง เพื่อนฉันเป็นคนชอบต้นไผ่ ส่วนฉันเป็นคนชอบตลาด เราจึงชวนน้องอีกสองคนไปตลาดป่าไผ่กัน นั่งรถประจำทางจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช ไปพัทลุง ลงที่แยกโพธิ์ทอง ก่อนถึงพัทลุง รอตรงศาลาเข้าทะเลน้อย จะมีรถเข้าไปหรือเลือกมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ได้ หรือจะขอให้เจ้าของบ้านพักทวีสุขออกมารับก็ได้ค่ะในกรณีที่พักที่ทะเลน้อยสักคืน ฉันเลือกพักที่ทะเลน้อยหนึ่งคืน จงขอให้เจ้าของใจดีขับรถมารับ ในระหว่างขับรถเธอบอกว่า เธอเล่าเรื่องตลาดป่าไผ่ ที่มาที่ไปว่าต้องการให้ผู้คนมีทางเลือกในการซื้อของใช้ของกินเป็นการพึ่งตนเองกันในชุมชน และบอกกับใครๆ ว่าบ้านเรามีอะไรบ้าง มีอะไรดี ที่บ้านพักมีคุณยายสูงวัยนั่งอยู่ข้างหน้า “แม่เป็นประชาสัมพันธ์ ที่กบได้กลับบ้านมาทำบ้านพัก มาช่วยกันทำกิจกรรมต่างๆ และตลาดด้วย เพราะต้องกลับมาดูแลแม่นี่แหละ” เธอบอก ยามเย็นเพื่อนของรุ่นน้องมารับไปดูตลาดป่าไผ่ เธอบอกว่าในช่วงเย็นที่ยังไม่มีคนขาย คนซื้อ ร่มรื่น บรรยากาศต่างออกไป พวกเราจะได้เห็นร่มเงาทิวไผ่ นับว่ามีโชคด้านนี้จริงๆ แล
นายเศรษฐศักดิ์ พรหมมา ปลัดเทศบาลตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย กล่าวถึงความสำเร็จที่ชาวบ้านจัดตั้งโฮมสเตย์ในตำบลบ้านแซว ติดกับแม่น้ำโขง และค่อยๆ พัฒนาจนปัจจุบันมีศูนย์ประสานงานเพื่อรองรับขวัญนักท่องเที่ยวพร้อมรักษาวิถีชีวิต ทั้งนี้ มีการนำนั่งรถอีต๊อกพานักท่องเที่ยวชมหมู่บ้านศูนย์ประกอบอาหารพื้นบ้าน ศูนย์ผ้าทอ การสีข้าวด้วยมือ การทำถั่วดาวอินคา เกาะแม่น้ำโขงฝั่งไทยที่มีลานก้อนหินกลมเพื่อนวดฝ่าเท้าและพักผ่อนรับประทานอาหาร ฯลฯ ส่วนห้องพักตามบ้านต่างๆ แต่ละหลังมีน้ำดื่ม ผ้าเช็ด ผลไม้ ระบบอินเตอร์เน็ต หมายเลขโทรศัพท์สถานที่สำคัญ ห้องน้ำสะอาด อาหาร ฯลฯ รองรับเพราะตั้งเป้าพัฒนาให้ความสะดวกถึงระดับโรงแรมสามดาว “ปัจจุบันชาวบ้านเข้าร่วมเป็นสมาชิกโฮมสเตย์ และพัฒนาบ้านเรือนของตัวเองให้มีห้องพักและมาตรฐานต่างๆ แล้ว จำนวน 21 หลัง หลังละตั้งแต่ 1-4 ห้องพัก แต่ละห้องรองรับผู้เข้าพักได้ตั้งแต่ 2-10 คน โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และสามารถรับประทานอาหารที่ชาวบ้านปรุงให้ตามสะดวก ขณะเดียวกันแต่ละหลังปลูกพืชปลอดสารเคมี ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถไปเก็บเพื่อนำไปปรุงอาหารอีกด้วย” นายเศรษฐศักดิ์ กล่า
เมื่อวันที่ 9 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านหัวเข่า ต.คาละแมะ อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ดำรงชีวิตแบบพึ่งพาตนเองและสิ่งแวดล้อม หลังจากการเก็บเกี่ยวข้าว ก็จะมีวิถีชีวิตในการดำรงชีพแบบอาศัยธรรมชาติใกล้ตัว เป็นแหล่งหาอาหารทั้งนำมาประกอบอาหารรับประทานในครัวเรือน และเหลือจากนั้นก็จะนำไปขาย มีรายได้พอเลี้ยงชีวิต อย่างเช่น นายพันธ์ มณี อายุ 49 ปี บ้านเลขที่ 49 หมู่ที่ 3 บ้านหัวเข่า ต.คาละแมะ อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ พร้อมภรรยา และเพื่อนบ้านเดียวกันอีก 4-5 คน ชักชวนกันออกหากบ เขียด ตามท้องทุ่งนา ที่ขุดรูทำหลุมอยู่ตามทุ่งนา ใต้กองฟางที่เกี่ยวข้าวแล้ว เพื่อนำมาประกอบเป็นอาหารบ้าง บางส่วนเก็บไว้ขายบ้าง อุปกรณ์ที่นำไปหากบ เขียด ก็มีเคียวเกี่ยวข้าว เสียม ถุงตาข่าย พร้อมทั้งห่อข้าวและน้ำดื่มไปด้วย เมื่อยามที่หิวข้าวก็จะได้กินที่ทุ่งนาเลย ส่วนที่ต้องนำเคียวเกี่ยวข้าวไปด้วยเพราะจะสะดวกในการเขี่ยเกี่ยวฟางข้าวหากบหาเขียด เมื่อเจอรูกบ รูเขียด หากพบเป็นดินนูนๆชาวบ้านจะรู้เลยว่า มีกบอยู่ใต้ดินนูน เมื่อเปิดดินออกจะเห็นตัวกบซ่อนตัวอยู่หลุม หรือบางทีก็อยู่ในหลุมลึกลงไปเล็กน้อย ซึ่งกบจะทำดินปิดปากรูหลุมเอาไว้ ชาวบ้
สมัยผมเด็กๆ เมื่อราวสี่สิบปีก่อน เวลานั่งรถประจำทางจากราชบุรีเข้ากรุงเทพฯ ตามถนนเพชรเกษม รถจะต้องผ่านสวนสามพราน (Rose garden) ที่อำเภอสามพราน นครปฐม ซึ่งตอนนั้นก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวไม่กี่แห่งที่ผมเคยไปนะครับ มาช่วงหลังๆ สวนสามพรานสำหรับคนวัยผมดูจะเงียบๆ ซบเซาไปบ้าง ค่าที่ว่ามีที่เที่ยวใหม่ๆ ที่คึกคักกว่า อย่างเช่น ตลาดน้ำดอนหวาย พระราหูที่วัดศีรษะทอง หรือแม้กระทั่งวัดไร่ขิงมาแทนที่ แต่อย่างไรก็ดี สถานที่หนึ่งๆ ย่อมอาจพลิกฟื้นคืนมามีชีวิตแบบใหม่ๆ ได้เสมอ…กรณีสวนสามพรานนี้ก็เช่นเดียวกัน ตั้งแต่ราวหกปีก่อน ที่ผู้บริหารสวนสามพรานและเครือข่ายได้ริเริ่ม โครงการ “สามพรานโมเดล” ซึ่งเป็นการร่วมมือกันของสถาบันวิชาการสหกรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สสส./สกว. และโรงแรมโรสการ์เดน สวนสามพราน กิจกรรมสำคัญส่วนหนึ่งคือสนับสนุนให้เกษตรกรในอำเภอสามพรานและพื้นที่เครือข่ายลงมือทำเกษตรอินทรีย์อย่างจริงจัง จนกระทั่งผลผลิตของเครือข่ายมีมากพอ จึงมีการเปิดตลาดรองรับเพื่อจำหน่ายแก่ผู้บริโภค อันเป็นที่มาของ “ตลาดสุขใจ” ตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553 จนถึงปัจจุบัน ตลาดแห่งนี้เป็นที่รู้จัก และเป็นแห
จำได้ว่า ต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2557 ผมปั่นจักรยานทางไกลจากกรุงเทพฯ ไปหนองคายกับกลุ่มเพื่อน บ่ายของวันที่พวกเราถึงเส้นทางเลียบน้ำโขงช่วงอำเภอสังคม ผมแวะพักเหนื่อยตามลำพังที่ศาลาข้างทาง สักครู่มีรถตู้คันหนึ่งมาจอด คนในรถลงมายืนบิดขี้เกียจดูวิวแม่น้ำโขง แล้วคนหนึ่งก็ชี้ไปที่พื้นใกล้ๆ แล้วร้องว่า “นั่นไงๆ นั่นแหละหญ้าฮี๋ยุ่มล่ะ…” จากนั้นต่างก็ตรงเข้าถอนมาคนละต้นสองต้น ก่อนจะขึ้นรถจากไป “หญ้าฮี๋ยุ่ม” เป็นที่รู้จักในวงกว้างจากงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 11 ซึ่งจัดที่เมืองทองธานี นนทบุรี ครั้งนั้น มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ปราจีนบุรี ซึ่งมักริเริ่มชูสมุนไพรตัวสำคัญๆ หมุนเวียนไปในแต่ละปี ได้แจกแจงสรรพคุณว่า มันเป็นหญ้าเคล็ดลับของคนโบราณ ใช้มากในหญิงหลังคลอดบุตร โดยเอาไปต้ม แล้วนั่งรมไอน้ำนั้นเพื่อกระชับช่องคลอด ช่วยให้แม้มีลูกมากแล้ว ช่องคลอดก็จะยังกระชับเช่นเดิม ดังนั้น การที่ผมได้เห็นคนที่เขาเริ่มรู้จัก มองเห็น แถมยังลงมือเก็บเกี่ยวหญ้าที่ว่านี้มากับตา ก็แสดงว่าการประชาสัมพันธ์หญ้านี้ประสบความสำเร็จด้วยดี สอดคล้องกับความต้องการของคนไทยในเวลานั้นจริงๆ ด้วย ผมเคยไปงานมหกรร