สมุนไพรพื้นบ้าน
ย่านางแดงเป็นสมุนไพรสำคัญอีกชนิดหนึ่งของหมอสมุนไพรพื้นบ้าน นอกเหนือจากย่านางที่เราคุ้นเคยกับการคั้นน้ำใส่แกงหน่อไม้หรืออาหารชนิดต่างๆ พ่อหมอ แม่หมอเองก็มีการใช้ย่านางแดงกันอย่างกว้างขวาง ตาเพ็ง สุขบัว หมอยาบ้านปวนพุ เล่าถึงสรรพคุณของย่านางแดงให้ฟังด้วยสำเนียงไทเลย ว่า ย่านางแดงนั้น เป็นยาเกี่ยวกับโรคกษัยไตพิการ เนื่องจากไตไม่ทำงาน จะมีอาการเจ็บหลังด้านที่ไตอยู่ จะรู้สึกเจ็บโยงลงมาที่เหง้าหรือต้นขาด้านใน หากมีอาการนี้ให้ใช้ย่านางแดงทั้งห้า รากกันจ้ำ (หมากก่องข้าว) แก่นไม้มะเฟืองช้าง นำทั้งหมดมาต้มกิน ให้กินแทนน้ำ และที่สำคัญคือ ต้องคละอาหารการกิน คนป่วยจะต้องไม่กินปลาไหล ตุ่น กุดจี่ หากกินจะผิดทันที ไม่หายจากโรค และย่านางเองยังใช้แก้เบื่อแก้เมา แก้ผู้หญิงผิดกรรมหรือผิดกะบูนก็ได้ โดยใช้แก่นจันทน์แดง จันทน์ผา ลำหรือรากย่านางแดง รากซมซื่น (เขยตาย) รากน่องปอม รากสะตีเครือ ฝนกับน้ำท่าหรือน้ำธรรมดากิน หรือนำมาต้มโดยใช้อย่างละสามสี่กีบ ขนาดประมาณนิ้วมือ มัดรวมกันต้มโฮมหรือรมไอน้ำ ให้รมเช้าเย็น ครั้งละครึ่งชั่วโมง และกินน้ำยาด้วย หากผู้หญิงเป็นไข้ทับระดู ก็ให้เอารากย่านางแดงแก่นไม้ลุมพุกแดง (มุ
ดร.ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เขียนในคอลัมน์ เก็บป่ามาฝากเมือง ว่าในการออกพื้นที่เพื่อเก็บรวบรวมความรู้จากหมอยาพื้นบ้าน นอกจากความรู้เรื่องหยูกยาแล้ว ผลพลอยได้คือความเชื่อม ประเพณีวัฒนธรรมที่มีพืชพรรณนั้นๆ ไปเกี่ยวข้อง ซึ่งสะเลเตหรือมีชื่ออื่นๆ อาทิ ชายเหิน มหาหงส์ หางหงส์ (ภาคกลาง) ตาหาน ต๋าเหิน เหินแก้ว เหินคำ (แม่ฮ่องสอน) เป็นต้น สะเลเต จัดเป็นสมุนไพรไม้ดอกหอมที่มีเรื่องราวที่มีสีสันมากที่สุด และเมตตามหานิยมแก่สถานที่ที่ปลูกและเป็นว่านมหาเสน่ห์ ที่ทำให้หนุ่มสาวหลงใหลซึ่งกันและกัน คนโบราอีสานมักจะห้ามปลูกดอกสะเลเตไว้บริเวณข้างห้องนอนลูกสาว หรือห้ามสาวรุ่นทัดดอกสะเลเต เพราะจะทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศ ด้วยเหตุนี้กระมัง สะเลเตจึงเป็นจำเลยของสามีภรรยาที่ถูกคู่ทิ้ง ดังคำผญา (คำอีสาน หมายถึง คำภาษิตปรัชญา) ที่ยายผาดพูดให้ฟังว่า “ฮ้าง ฮ้าง นี่ฮ้างดอกสะเลเต ผัวพาเพจึงได้เป็นแม่ฮ้าง” ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่นำมาทัดหูเขาจะไม่ว่ากัน เพราะถือว่าเลยวัยไปแล้ว นอกจากนี้ ดอกสะเลเตยังนิยมใช้ในการบูชาพระ รวมทั้งใช้ในการบูชาเทพในศาสนาฮินดู เพื่อขอพรใ
ชื่อตำบลสรรพยา และอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาทนั้น มีความเกี่ยวข้องกับวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ตอนกุมภกรรณพุ่งหอกโมกขศักดิ์ถูกพระลักษมณ์ พระรามมีพระบัญชาให้หนุมานไปเก็บสังกรณีตรีชวา ซึ่งอยู่ที่เขาสรรพยามารักษาพระลักษมณ์ ปัจจุบันพบว่า บนเขาสรรพยา มีต้นสังกรณีตรีชวาอยู่จริง และพบสมุนไพรที่หายากอื่นๆ เป็นจำนวนมาก จึงเชื่อกันว่าเขาสรรพยาในวรรณคดีดังกล่าว คือ เขาสรรพยาที่ตำบลสรรพยา โดยมีการเล่าขานเป็นตำนานเขาสาปยา (เขาสรรพยา) สืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จึงยกย่อง ตำนานเขาสาปยา (เขาสรรพยา) เป็นหนึ่งในมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชัยนาท พร้อมขึ้นทะเบียน “ตำนานเขาสาปยา (เขาสรรพยา)” ใน บัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณะได้มีส่วนร่วมสืบสาน ตำนานเขาสาปยา (เขาสรรพยา) ในระยะยาว ศสกร.อำเภอสรรพยา ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ตำบล(ศสกร.ตำบลสรรพยา) และศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอสรรพยา( ศสกร.อำเภอสรรพยา ) มีส่วนร่วมในการสืบสานตำนานเขาสรรพยาแล้ว ยังส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช การปลูกสมุนไพรพื้นบ้าน สังกรณี
สภาพภูมิอากาศบ้านเราเดี๋ยวชื้น เดี๋ยวหนาวเย็น เดี๋ยวร้อน ยามร้อนก็ร้อนร้าว จนชาวบ้านต่างพากันบ่นพึมพำ แช่งด่าดวงตะวันที่อยู่ไกลเราไปตั้ง 150 ล้านกิโลเมตร ร้อนจริงร้อนจัง ร้อนอย่างแท้จริง ร้อนจนจำต้องหมดเงินค่าน้ำค่าไฟเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เพื่อช่วยคลายร้อนที่ดวงตะวันแบ่งปันส่งมาให้ หมดเงินเพิ่มอีกเยอะเลย เอะหรือว่ารัฐบาลเขาขึ้นราคาค่าน้ำค่าไฟที่เราใช้ของเขาไป ซ้ำเติมให้เร่าร้อนเข้าไปอีก แต่ช่องทางผ่อนคลายร้อนแบบบ้านๆ ก็มีอยู่ คืออาศัยความเป็นธรรมชาติ ต้นไม้ หาดทราย สายน้ำลำธารมากมาย รวมทั้งอาหารการกินที่ชาวบ้านเขารู้จัก และธรรมชาติเสกสรร ให้มีในหน้าร้อนนี้ พืชผักหลายอย่างช่วยคลายร้อนได้ เราเรียกกันว่า “ผักพื้นบ้าน” ผักพื้นบ้าน ส่วนใหญ่เป็นผักได้จากป่า เอามาทำกินกันกับคนที่บ้าน หรือพืชผักริมรั้วที่มีในท้องถิ่นก็ใช่ มีมากกันทุกภาคของไทยที่ป่าไม้ยังอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านหาเก็บมาวางขายตามตลาดท้องถิ่น เป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่นักบริโภคอาหารป่า ซึ่งปลอดภัยจากสารพิษ เช่นผักชนิดนี้น้อยคนนักที่จะรู้จัก ชื่อเขาแปลกๆ เรียกกันว่า “สะแล” ส่วนที่นำมาเป็นอาหารคือ ดอกอ่อน ลักษณะดอกคล้ายกับผล ดอกอ่อนสะแลม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Goniothalamus laoticus Craib ชื่อวงศ์ ANNONACEAE ชื่ออื่นๆ ตูกะไซดีนาอาลี (มุสลิม) ปอขี้แฮด (เชียงใหม่) จำปีหิน (ชุมพร) นมงัว (ปราจีนบุรี) ผมหลงเสน่ห์กลิ่นอายทะเล หาดทราย สายลม หากกรุงเทพฯ เป็นจุดเริ่มต้น จุดที่ใกล้คงจะเป็น บางแสน พัทยา ชะอำ หัวหิน สงกรานต์นี้ชายหาดบางแสนคึกคัก เพราะสามารถใช้ทางด่วนลอยฟ้า บางนา-ชลบุรี หรือมอเตอร์เวย์ หมายเลข 7 และไม่น้อยกว่าครึ่งของผู้ไปเยือนบางแสนต้องแวะ “ตลาดหนองมน” ตำนานแห่ง “ดงข้าวหลาม” หอมกลิ่นข้าวเหนียวหน้ากะทิหุ้มเยื่อไผ่ในกระบอกไม้ไผ่ถูกเผา จนลืมกลิ่นไอคละคลุ้งแห่งทะเล “ข้าวหลามหนองมน” จึงเกี่ยวข้องกับตัวผมโดยตรง มีคนถามว่าชื่อ “ข้าวหลามดง” ของผมเกี่ยวอะไรกับ “ดงข้าวหลาม” แห่งตลาดหนองมน เรื่องนี้ผมถามบรรพบุรุษแล้ว ชื่อผมนี้มาจากกลิ่นของลำต้น กิ่ง เมื่อถูกไฟไหม้หรือถูกเผาจะมีกลิ่นไหม้คล้ายๆ กลิ่นกระบอกข้าวหลามที่เผาสุกใหม่ๆ ส่วนคำว่า “ดง” นั้น เพื่อระบุว่าเป็นต้นไม้ที่อยู่ใน “ป่าดงพงไพร” มาต่อท้ายให้ต่างจากญาติสกุลเดียวกัน ชื่อ “ต้นข้าวหลาม” ชื่อผมจึงแปลกดีเมื่อต่อท้ายด้วย “ดง” และสอดคล้องกับการหุงข้าวแบบโบราณ ที่ต้องรินน้ำข้าวทิ
เนื่องด้วยผู้เขียน มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับโรคระบบทางเดินอาหาร ได้พยายามศึกษาค้นคว้าหาสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยป้องกัน บรรเทา บำบัดรักษาโรคดังกล่าว ก็พบว่า มะขามป้อม มีสรรพคุณมากพอที่จะนำมาช่วยบรรเทารักษาโรคได้ โดยเฉพาะช่วยระบายพิษจากระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินโลหิต ทำหน้าที่ขับพิษตกค้าง เป็นต้น ได้ศึกษาจากเอกสาร บทความหลายฉบับ จากสื่อออนไลน์ จากงานวิจัยของบางมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลอภัยภูเบศร และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแพร่ จึงได้นำมาเสนอแบ่งปันข้อมูลยังท่านผู้อ่านด้วย ในบทความนี้ นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับข้อมูลจำเพาะของมะขามป้อม ประโยชน์ของมะขามป้อม สายพันธุ์ต่างๆ การปลูก การดูแล จากแปลงเพาะปลูกจริงของเกษตรกรในพื้นที่ที่ปลูกเชิงการค้า เพื่อให้ท่านผู้อ่านเกิดความสนใจและมีความมั่นใจ หากจะนำกิ่งพันธุ์มาปลูก หรือเกษตรกรที่ปลูกมะขามป้อมอยู่แล้ว อาจวางแผนขยายพื้นที่และพัฒนาสายพันธุ์ให้เป็นที่ต้องการของตลาด มะขามป้อม ไม้ดีมีคุณค่า มะขามป้อม เป็นไม้ยืนต้น ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Phyllanthus emblica (ผลเล็ก) Phyllanthus indofischeri (ผลใหญ่) ชื่อสามัญ Indian goose
จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยถูกงูกัดประมาณ 7,000 ราย ต่อปี ซึ่งในประเทศไทยก็พบงูพิษหลากหลายชนิด โดยจะแบ่งเป็นหลักๆ ตามระบบที่ถูกพิษ ได้แก่ พิษต่อระบบประสาท (neurotoxin) เช่น งูเห่า งูจงอาง พิษต่อระบบเลือด (hematotoxin) เช่น งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ งูแมวเซา พิษต่อกล้ามเนื้อ (myotoxin) เช่น งูทะเล พิษอ่อน สำหรับการดูแลผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด ขั้นแรกคือ การยืนยันว่าถูกงูพิษกัด ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักชนิดของงูหรือการนำงูพิษมาด้วย หรือการดูรอยเขี้ยว ดูอาการและอาการแสดงจำเพาะของการถูกงูพิษกัด การทำ serodiagnosis จากตัวอย่างเลือด แต่อย่างไรก็ตาม งูพิษจะไม่ปล่อยพิษทุกครั้งหลังฉกกัด เพราะพิษของงูมีไว้ล่าเหยื่อหาอาหาร การปฐมพยาบาล ควรให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ถูกกัด ล้างแผลให้สะอาด นำงูไปโรงพยาบาลด้วยหากทำได้ แต่ในกรณีที่งูหนีไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไล่ตาม เนื่องจากแพทย์สามารถวินิจฉัยได้ ห้ามดูดพิษงูด้วยปากหรือกรีดแผล ในระบบของการแพทย์ของโรงพยาบาลทั่วไป ถ้าคนไข้ถูกงูที่มีพิษต่อระบบประสาทกัด แพทย์จะยังไม่ฉีดเซรุ่มให้ ต้องรอดูอาการจนกว่าจะมีอาการทา
ชื่อวิทย์ Hyptis suaveolens (L.) Poit. ชื่อวงศ์ LAMIACEAE ชื่ออื่นๆ แมงลักป่า กะเพราป่า อีตู่นา Chinese Mint. Mint Weed, Pignut, Wild Spikenard ลักษณะทั่วไป แมงลักคา เป็นไม้ล้มลุก ตระกูลเดียวกับกะเพรา สะระแหน่ อายุปีเดียว มีกลิ่นหอม ลำต้นและกิ่งเป็นสี่เหลี่ยม มีขนทั่วลำตัว ลักษณะเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ปลายใบแหลม ฐานใบมน ขอบใบหยักมนหรือหยักซี่ฟันเลื่อย ผิวใบมีขนทั้งสองด้าน ช่อดอกแบบช่อกระจุก ดอกย่อยแบบรูปปากเปิด กลีบเลี้ยงสีเขียว กลีบดอกสีม่วง พบได้ตามที่รกร้างทั่วไป เป็นพืชคนละชนิดกับแมงลักที่ใช้รับประทานเป็นอาหารพบทั่วไปในไทย แมงลักคาใช้เป็นอาหารได้ ยอดอ่อนแมงลักคาใช้เป็นผักแกล้มได้เช่นเดียวกับแมงลัก แต่กลิ่นฉุนกว่า เมล็ดพวกนี้ทานได้คล้ายเมล็ดแมงลัก เมล็ดแมงลักคานำมาแช่น้ำแล้วจะพองออกเป็นวุ้นเช่นเดียวกับเมล็ดแมงลัก ใช้เป็นอาหารสุขภาพ ผสมน้ำผลไม้ หรือน้ำหวาน เป็นอาหารหวาน การขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด แมงลักคา ยากันยุงฤทธิ์แรงที่ปลอดภัย แมงลักคา เป็นวัชพืชที่มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันและกำจัดแมลงและกันยุง จัดว่าเป็นสมุนไพรไล่แมลงกัน
กรมส่งเสริมการเกษตร แนะวิธีปลูก “กระชาย” พืชสมุนไพรพื้นบ้านอย่างถูกวิธี ปัจจุบันพืชสมุนไพรไทยมีอัตราการขยายตัวของตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น และยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยสมุนไพรที่กำลังได้รับความสนใจ นอกจากฟ้าทะลายโจรในขณะนี้ คือ “กระชาย” ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรจัดอยู่ในพืชวงศ์เดียวกับ ขิง (ZINGIBERACEAE) เป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดินเรียกว่า เหง้า ซึ่งมีลักษณะเป็นตุ้มสั้น แตกหน่อได้เช่นเดียวกับขิง รูปทรงกระบอกหรือรูปไข่ค่อนข้างยาวปลายเรียวแหลมออกเป็นกระจุก มีผิวสีน้ำตาลอ่อนเนื้อในสีเหลืองมีกลิ่นข่า และขมิ้น รากอวบหอมเฉพาะตัว ใช้เหง้าเป็นส่วนขยายพันธุ์ และรากเป็นส่วนที่ใช้บริโภคมีสรรพคุณเป็นทั้งอาหารและยาสมุนไพร ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสำคัญกับงานด้านการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชสมุนไพร เพื่อไว้ใช้เองในครัวเรือน และจำหน่ายตามแนวทางตลาดนำการผลิต กรมส่งเสริมการเกษตรในฐานะหน่วยงานส่งเสริมการเกษตรด้านพืช มีวิธีการปลูกกระชายมาแนะนำ ดังนี้ การเตรียมพันธุ์ เกษตรกรควรเลือกเหง้ากระชายที่มีตาสมบูรณ์ และปราศจากโรคและแมลง มีอายุต
ปัจจัยที่ใช้กับพิธีกรรมต่างๆ รดน้ำดำหัว สรงน้ำพระ งานมงคล อวมงคลต่างๆ ขันน้ำมนต์ คนเป็นหมอครูจะใช้ “ฝักส้มป่อยแห้ง” ย่างไฟให้หอม ใส่ขันน้ำมนต์ ใบหญ้าคาผูกมัดพอกำเป็นอุปกรณ์ ชุบสะบัดโปรยหยาดหยดเม็ดน้ำมนต์สู่ชาวชนและสถานที่ แม้แต่ผีในโลงยังได้รับอานิสงส์ส่งสู่สุคติ ทุกวันนี้ “ส้มป่อย” เริ่มหายไป คนเคยเด็ดยอดใบก้านแดงเขียว เติมความเปรี้ยวกับต้มส้มปลากด ปลาแค้ ซดฮวบโฮก ซาบซ่านตั้งแต่ปลายลิ้นยันปลายไส้สุด หลายคนไม่รู้จัก และอีกหลายๆ คนอยากรู้จัก “ส้มป่อย” เป็นพืชเก่า มีเล่าขานในนิทานนิยายปรัมปรา คล้ายว่าในเรื่องผีๆ ที่มีคนสรรค์แต่งขึ้นมาหลายต่อหลายบทตอน เช่น หมอผีทำพิธีไล่ผี หมอพื้นบ้านใช้ทำเป็นน้ำมนต์อาบสะเดาะเคราะห์คนป่วยไข้ คนไทยหลายเผ่าใช้เป็นปัจจัยในการขจัดปัดเป่าเคราะห์กรรมอัปมงคล ดูเหมือนว่าจะใช้รักษาโรคซึมเศร้า ความโชคร้าย ดวงตกต่ำ และอีกสารพัดประโยชน์ เด็กรุ่นหลังมองหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความสงสัยว่าที่พูดถึงส้มป่อยอยู่นี้ มันเป็นอย่างไร “ส้มป่อย” เป็นพืชยืนต้นขนาดเล็กหรือเป็นไม้พุ่ม ลักษณะลำต้นเลื้อยหาที่ยึดเกาะขึ้นไปตามกิ่งไม้ แต่ไม่มีมือจับ เถาของส้มป่อยจะแข็งแรงมาก สามารถเลื้อยไป