สมุนไพรรักษาโรค
มะตูม ผลไม้สมุนไพรที่น่าสนใจอีกชนิดหนึ่งที่ผู้คนในสมัยนี้มักมองข้าม และกำลังเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้บริโภค ด้วยเพราะอาจจะหากินได้ยาก เนื่องจากมะตูมเป็นผลไม้ที่ได้จากต้นมะตูมในป่า ไม่มีการปลูกเป็นไร่ เป็นสวน เหมือนผลไม้ชนิดอื่น สมัยก่อนมี มะตูม มะขวิด วางขายหากินได้ง่าย ต่อมาไม่ค่อยมีคนเอามาขาย ยิ่งในปัจจุบันหามะตูมสุกในตลาดได้ยากเต็มที ที่พอจะหาได้ก็แปรรูปเป็นมะตูมเชื่อม มะตูมตากแห้ง น้ำมะตูม และลูกอมมะตูม (รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ) ในสมัยก่อนคนโบราณจะนิยมกินมะตูม ทั้งใช้เป็นของหวาน ยารักษาโรค และเครื่องดื่ม รวมทั้งกินผลสุก (ดิบกินไม่ได้ เพราะรสชาติจะฝาด) เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ “มะตูม” มีประวัติที่น่าเชื่อถือว่า มะตูม เป็นผลไม้ที่ถือกำเนิดมาจากประเทศอินเดีย และเป็นต้นไม้ตามความเชื่อของชาวอินเดีย ที่ผูกพันอยู่กับพระศิวะ ซึ่งชาวอินเดียยกย่องมะตูมว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าต้นโพธิ์ มะตูมเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยในช่วงที่มีการเผยแพร่พุทธศาสนา เพราะถือว่าเป็นไม้มงคล และมีคุณสมบัติเป็นยาได้ด้วย มะตูม เป็นไม้ยืนต้น ขึ้นอยู่ตามป่าเบญจพรรณ ลำต้นแข็งแรง พบได้ตามป่าเขา มีทั่วทุกภาคของประเทศไทย
เคยรู้สึกไม่สบายท้อง รับประทานอะไรเข้าไปก็แน่นท้อง เป็นๆ หายๆ บ้างไหม? ทราบหรือไม่ว่าอาการดังกล่าว คือ อาการหนึ่งของโรคกระเพาะอาหาร! ที่หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าโรคกระเพาะอาหาร คือ โรคที่เกิดจากกระเพาะโดนน้ำย่อยกัดจนเป็นแผล แต่ความจริงแล้วมีผู้ป่วย 60-90% เป็นโรคกระเพาะอาหารชนิดไม่มีแผล พบเพียงการอักเสบเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหารแบบมีแผลหรือไม่มีแผล อาการของโรคก็มีความคล้ายคลึงกัน คือ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ หรือบริเวณเหนือสะดือ ท้องอืด อาการมักเป็นๆ หายๆ มักเป็นเวลาท้องว่างหรือเวลาหิว อาการปวดหรือแน่นท้องจะดีขึ้นหลังทานอาหาร หรือได้รับยาลดกรด บางรายจะไม่มีอาการปวดท้อง แต่จะมีอาการแน่นท้องหรือรู้สึกไม่สบายในท้อง มีลมมากในท้อง ต้องเรอหรือผายลมจะดีขึ้น หรืออาจมีคลื่นไส้อาเจียน หรืออาการแสบร้อนยอดอกร่วมด้วย เเล้วรู้หรือไม่ว่าโรคกระเพาะอาหารเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ? เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร มีการหลั่งกรดในกระเพาะมากเกินไป หรืออาจเกิดจากความเครียด การทานอาหารรสจัด การดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และคา
เข้าสู่วันที่ 4 ของงาน SUSTAINABILITY EXPO 2024 (SX 2024) เต็มอิ่ม 10 วัน กับ 10 โซนกิจกรรมสุดล้ำ พร้อมนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่ออนาคตที่คุณไม่ควรพลาด! ปีนี้มาในคอนเซ็ปต์ “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (Sufficiency for Sustainability) แน่นอนว่าความยั่งยืนที่ขาดไม่ได้คือความมั่นคงทางอาหารที่ยั่งยืน คือ ประชากรสามารถเข้าถึงอาหารได้โดยไม่ขาดแคลน เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ปลอดภัย ตอบสนองต่อความต้องการ เพียงพอต่อการบริโภคเพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงและมีจิตใจที่สดใสเบิกบาน หากท่านใดเป็นสายรักสุขภาพ กำลังมองหาอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เชิญมาพบกันที่โซน SX Food Festival ปีนี้มาในธีม Back to The Future มหกรรมด้านอาหารยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี พาทุกท่านย้อนเวลากลับไปสู่อนาคตด้วยอาหารที่ดีต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พบกับ Celebrity Chefs มากมาย รวมถึงผู้ประกอบการที่สร้างสรรค์เมนูอาหารที่ช่วยสร้างสมดุลที่ดีต่อโลกและดีต่อคุณ โดยไฮไลต์ที่จะนำเสนอในวันนี้อยู่ที่โซน A (Functional Foods) อาหารเพื่อสุขภาพ ที่รวบรวมสมุนไพรบำรุงร่างกายกว่า 20 ชนิด หลากหลายสรรพคุณ มาไว้ที่นี่แล้ว โกฐจุฬาลัมพา สรรพค
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clerodendrum inerme (L.) Gaertn. ชื่อวงศ์ Labiatae (Lamiaceae) ชื่ออื่นๆ สำปันงา (สตูล) สัมเนรา (ระนอง) เขี้ยวงู (ประจวบคีรีขันธ์) สักขรีย่าน (ชุมพร) สำมะลีงา (ภาคกลาง) สำลีงา สามพันหวา (ฉะเชิงเทรา) คนจีนเรียก เช่าอึ้งเต็ง หนูถูกเรียกหลายชื่อจนสับสนไปหมด แต่ก็มีความสุขทุกครั้งถ้าใครเรียกหนูว่า สำปันงา หรือ สำลีงา เพราะฟังดูเป็นสาวทอมๆ แก่นๆ ดี เหมือนเนื้อไม้เถาเลื้อยได้แต่แข็งแกร่ง แม้ว่าหนูเป็นพืชพื้นบ้าน แต่ก็พบหนูได้ยาก จนใครๆ เขาพูดว่าหนูเป็นพืชสมุนไพรหายาก ซ้ำยังเป็นไม้กึ่งรอเลื้อย มีญาติหนูที่อายุมาก เขาเลื้อยขึ้นนั่งร้าน แล้วยังพาดไปยังต้นไม้อื่นๆ ได้ตั้งหลายเมตร แต่ถ้าอยู่ตามป่าละเมาะริมทะเลจะพบหนูเป็นลักษณะไม้พุ่ม สูงได้ 2-3 เมตร หนูมีใบเดี่ยวสีเขียวสด รูปไข่ หรือรูปหอก โคนใบมน เรียงตรงข้าม และแผ่นใบด้านล่างมีขนนุ่มๆ แต่ก้านใบออกแดง หรืออมม่วง เคยมีหนุ่มๆ มาขยี้ใบหนูแล้วดมดู บอกว่าเหม็นเขียว จึงพากันรังเกียจกลิ่นใบตัวหนู สิ่งที่หนูคิดอยากจะอวดมากๆ คือ ดอก เพราะมั่นใจว่าสวย ตรงที่มีดอกเป็นช่อตามซอกใบ บานแล้วเห็นกลีบดอก 5 กลีบ สีขาวได้รูป ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป และ
“เลือด” เป็นของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนไปตามเส้นเลือดไปยังส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย เลือดทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ขนส่งก๊าซออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ ปรับระดับอุณหภูมิของร่างกาย ส่วนเม็ดเลือดขาวก็ช่วยจัดการกับเชื้อโรคที่เข้ามารุกราน รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย จะเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เลือดทำได้นั้นมีความสำคัญกับร่างกายมาก ดังนั้น หากเลือดทำงานด้อยประสิทธิภาพลง จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง เจ็บป่วยได้ง่าย เราจึงควรใส่ใจดูแลบำรุงเลือดให้สมบูรณ์ เมื่อระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ร่างกายก็แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก 8 สมุนไพรบำรุงเลือด ใครที่อยากบำรุงเลือดให้แข็งแรงสมบูรณ์ สิ่งที่ควรใส่ใจเป็นอันดับแรกเลยคืออาหารนั่นเอง มีพืชผักสมุนไพรอยู่เป็นจำนวนมากที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงเลือด ไม่ว่าจะในคนปกติหรือผู้ที่มีภาวะเลือดจาง สามารถเลือกกินได้ บางชนิดอาจจะหากินยากสักเล็กน้อย แต่บางชนิดก็ผักสวนครัวใกล้ๆ ตัวที่เราแทบจะกินกันอยู่ทุกๆ วันเลยทีเดียว อย่ารอช้าไปรู้จักกับสมุนไพรมีสรรพคุณช่วยบำรุงเลือดทั้ง 8 ชนิดกันเลย แคนา เป็นพืชที่มักพบตามทุ่งนา ดอกรูปแตรสีขาว ส่วนที่มีสรรพคุณช่วยบำ
“อย่ากินของสุกๆ ดิบๆ เดี๋ยวจะเจอพยาธิ” หลายท่านคงเคยได้ฟังคำเตือนเหล่านี้มาตั้งแต่จำความได้ ทั้งจากผู้ใหญ่ คุณครูในวิชาสุขศึกษา หน่วยงานสาธารณสุขต่างๆ แต่พยาธิก็ยังคงเป็นปัญหาสุขภาพของประชาชนจนถึงทุกวันนี้ อาจจะเป็นเพราะวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตหรือความเชื่อต่างๆ สำหรับคอลัมน์นี้ จะขอกล่าวเฉพาะเจาะจงแต่พยาธิใบไม้ตับอย่างเดียว เพราะเป็นพยาธิที่ก่อให้เกิดโรคที่มีความร้ายแรงแก่คนไข้ และเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศไทยมากที่สุดคือ เป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดมะเร็งท่อน้ำดีในคนไทย พยาธิใบไม้ตับจะพบได้มากในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ พยาธิจะมูปร่างแบนคล้ายใบไม้ ตัวอ่อนอาศัยอยู่ในปลาน้ำจืดที่มีเกล็ด ซึ่งหากโตเต็มวัยและอยู่ในร่างกายมนุษย์แล้ว จะอาศัยอยู่ที่ท่อน้ำดี โดยที่ปัญหาพลังจากพยาธิเกาะในท่อน้ำดีแล้ว ก็จะทำให้ผนังท่อน้ำดีเกิดพังผืด หนาขึ้นเรื่อยๆ และเกิดการอักเสบซ้ำๆ สุดท้ายก็อาจมีโรคแทรกซ้อนขึ้นมาคือ มะเร็งของท่อน้ำดี โดยคนไข้ก็มักจะมารักษากันเมื่อเกิดความผิดปกติมากๆ เช่น อาการตัวเหลือง ตาเหลือง อาจจะมีท้องบวม เบื่ออาหาร ซึ่งการรักษาคือการกินยาฆ่าพยาธิคือยา Praziquantel เป็นยาที่ได้ผลดีมากใน
กรมวิชาการเกษตร ให้ข้อมูลเรื่องของประโยชน์ของกระชาย ซึ่งเป็นตัวชูโรงหนึ่งของสมุนไพรในยุคโควิด-19 ประโยชน์ กระชายมีคุณสมบัติบำรุงร่างกาย มีรสชาติเผ็ดร้อน มีกลิ่นหอมระเหยอ่อนๆ ที่สำคัญยังเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ไปดูประโยชน์และสรรพคุณของกระชายเพิ่มเติมได้ดังนี้ บำรุงผมให้สุขภาพดี ผู้ที่มีปัญหาเส้นผมแห้งเสียหรือเส้นผมอ่อนแอ กระชายเป็นตัวเลือกที่ดีในการบำรุงเส้นผมให้กลับมาแข็งแรง ช่วยแก้ปัญหาผมขาวให้กลับมาดกดำ ทำให้ผมบางกลับกลายเป็นผมหนานุ่มได้อีกครั้ง สามารถจัดการปัญหาผมร่วงและผมหงอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อต้านการอักเสบ กระชายมีคุณสมบัติยอดเยี่ยมที่ช่วยต้านการอักเสบ การรับประทานกระชายอย่างต่อเนื่อง จะได้รับผลเหมือนกับการรับประทานยาแอสไพริน โดยจะช่วยแก้ปัญหาการอักเสบเรื้อรังภายในร่างกายได้ดี ทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายแข็งแรงมากขึ้น เพิ่มพลังให้ร่างกาย กระชายสามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังได้ โดยการนำกระชายมาปั่นแล้วดื่ม กระชายมีคุณสมบัติเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย ทำให้รู้สึกมีพลัง รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเต็มไปด้วยพลังงาน ใช้รักษาโรคทั่วไป ประโยชน์ของกระชายมีมากมายหลายด้าน ซึ่
สมุนไพรไทยที่เอามาเล่าสู่กันฟังเรื่อง “ชะลอวัย ไกลโรค” เพื่อต้อนรับ “สังคมผู้สูงอายุ” ของไทย ถ้าจะเรียกให้เท่ๆ ต้องบอกว่า “สังคมอายุวัฒนะ” เหมือนสังคมที่เจริญแล้วในตะวันตก ในที่นี้ขอประเดิมด้วย “เพชรสังฆาต” สมุนไพรใช้รุกฆาตโรคกระดูกเสื่อม กระดูกพรุน อันเป็นโรคประจำสังขารของคนวัยชราทั้งชายและหญิง ในคัมภีร์แพทย์แผนไทยให้ความสำคัญกับ “อัฐิธาตุ” หรือ “ธาตุกระดูก” ในฐานะที่เป็น “ปฐวีธาตุ” หรือ “ธาตุดิน” ซึ่งเป็นธาตุโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุดที่ช่วยพยุงร่างกายให้มีรูปทรงตั้งอยู่ได้ ในทางกระดูกวิทยา (Osteology) กล่าวว่า การสะสมแคลเซียมเพื่อเสริมสร้างกระดูกสูงสุดอยู่ในช่วงวัย 14 ปี สำหรับผู้หญิง และวัย 16 ปี สำหรับผู้ชาย ซึ่งตรงกับช่วงสิ้นสุดปฐมวัยตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย แต่กระดูกยังสามารถเสริมความหนาตัวได้อีกจนถึงอายุ 30 ปี จากนั้นจึงค่อยๆ เสื่อมลงโดยจะสูญเสียมวลกระดูกไปประมาณปีละ 0.5-1% ทั้งชายและหญิง นี่กระมังเป็นเหตุให้คัมภีร์แพทย์แผนไทยกล่าวไว้ใน “วัยสมุฏฐาน” ว่าเมื่อคนเราอายุราว 30-32 ปีก็เข้าสู่แดนปัจฉิมวัย อันเป็นวัยที่กระดูกเริ่มเสื่อมนั่นเอง “เพชรสังฆาต” เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุง
เชื่อว่าหลายคนหากได้ยินชื่อของสมุนไพรชนิดนี้แล้ว คงชะงัก ตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะ คำว่า “ป่าเฮ่ว” ในภาษาเหนือ หมายถึง “ป่าช้า” คนภาคกลาง จึงเรียกว่า “ป่าช้าหมอง” หรือบางคนอาจรู้จักในชื่อ“ขันทองพยาบาท” ส่วนคนจีนเรียกว่า “หนานเฉาเหว่ย” มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าSuregada multiflorum (A.Juss.) Baill. อยู่ในวงศ์ Euphorbiaceae “ป่าช้าหมอง” ชื่อนี้มีที่มา ว่ากันว่าป่าช้าหมองเป็นสมุนไพรที่อยู่คู่ภูมิปัญญามาช้านาน ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จนไม่มีใครต้องเสียชีวิต ทำให้ป่าช้าต้องหงอยเหงานั่นเอง ลักษณะทางพันธุศาสตร์ของป่าช้าหมอง เป็นต้นไม้ขนาดเล็ก มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 3-7 เมตร ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ ขอบใบเรียบ ปลายใบแหลม เกลี้ยงและเป็นมัน ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ สีเขียวอ่อนหรือเหลืองมีกลิ่นหอม ผลทรงกลม ใน 1 ผล แบ่งออกเป็น 3 พู แต่ละพูมี 1 เมล็ด เมื่อแก่ผลจะแตกตามรอยประสานระหว่างแต่ละพู ผลอ่อนเป็นสีเขียว ผลแก่เป็นสีเหลือง ป่าช้าหมอง ขึ้นได้ทั่วไป เป็นสมุนไพรในกลุ่ม ดีปลากั้ง ดีปลาช่อน แต่มีสารออกฤทธิ์ทางยาสูงกว่า ในตำรายาล้านนา ใช้สำหรับช่วยรักษาโรคเรื้อรังหายยาก ส่วนข้อมูลทางโภชนาการ ช่วยบรรเ
ปัจจุบันท่านผู้อ่านอาจไม่ได้ยินโรคหิดในชีวิตประจำวันมากเท่าไร เนื่องจากโดยรวม ประชาชนมีการสาธารณสุขที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม โรคนี้ก็ยังไม่ได้หมดไป การติดต่อเกิดจากการสัมผัสคนที่เป็นโรค มักพบได้บ่อยในบริเวณชุมชนที่อยู่กันหนาแน่น เช่น ในเรือนจำ ชุมชนแออัด สถานรับเลี้ยงเด็ก อาการคันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน เกิดจากการที่ตัวหิดขุดเจาะผิวหนังชั้นบนสุดจนเป็นโพรง ส่งผลถึงระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค (Immune system) ของร่างกายมีการหลั่งสารเคมี ทำให้เกิดอาการขึ้นมา ซึ่งมักพบตุ่มขึ้นที่ข้อมือ ง่ามนิ้วมือ ข้อศอก ท้อง เอว เมื่อให้การรักษา ควรรักษาผู้เป็นหิดพร้อมผู้ใกล้ชิด หรืออาศัยบ้านเดียวกัน แม้ว่าจะไม่มีอาการ รวมทั้งต้องกำจัดหิดในสภาพแวดล้อม เช่น เสื้อผ้า ผ้าปู และที่นอน ยาที่ใช้รักษามีทั้งแบบยากินและยาทาใช้ภายนอก โดยจะใช้เวลารักษาประมาณ 4 สัปดาห์ ปัจจุบันได้มีการวิจัยฤทธิ์ของว่านหางจระเข้ ที่นำมาสกัดแล้วทำเป็นเจลทาภายนอก ความเข้มข้น 25 เปอร์เซ็นต์ และ 12.5 เปอร์เซ็นต์ ทดสอบในผู้ใหญ่และเด็กที่เป็นโรคหิด โดยให้ทาเจลว่านหางจระเข้ติดต่อกันนาน 3 วัน ตั้งแต่บริเวณลำคอลงมาถึงเท้า และทาซ้ำอีกครั้ง