เกษตรต่างแดน
บ้านเรานั้นพูดอีกก็ถูกอีกว่าเป็นเมืองเกษตรกรรม ด้วยว่าเงื่อนไขทั้งหมดทั้งปวงเอื้ออวยเต็มที่ ภูมิประเทศเหมาะเหม็ง ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป มีแผ่นดินติดต่อกันเป็นผืนใหญ่เหมาะแก่การเพาะปลูก มีแหล่งน้ำภายในมหาศาล พื้นที่ติดทะเลอีกยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร น่านน้ำกว้างขวางกว่า 300 ตารางกิโลเมตร ปลูกข้าวได้ปีละเกือบ 30 ล้านตัน จับปลาทะเลได้ปีละ 1.5 ล้านต้น จับปลาน้ำจืดได้ปีละ 5 แสนตัน มีข้าวในนามีปลาในหนองของจริง แต่ถ้าพูดว่าอิสราเอล ประเทศที่มีขนาดหนึ่งในสิบของไทย แถมโด่เด่กลางทะเลทราย แถมอีกหน่อยว่ามีการสู้รบกับปาเลสไตน์มาจะร้อยปีเข้าไปแล้ว คือบ้านเมืองร้อนรุ่มมะรุมมะตุ้มปานนี้ ก็เป็นเมืองเกษตรกรรมด้วย อันนี้ก็ยากจะเชื่อ แต่ไม่เชื่อก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นไปแล้ว อิสราเอลเป็นเมืองเกษตรกรรม เมืองเรือกสวนไร่นาจริงๆ ทั้งที่ก็อยู่กลางทะเลทราย และสู้รบกันอึงคะนึงไม่หยุดหย่อน แถมพื้นที่ที่เหมาะสมกับการเกษตรมีแค่ 20% เทียบกับของไทยที่มีมากกว่า 80% คนไทยไปทำงานรับจ้างทำสวนทำนาที่อิสราเอลมาหลายสิบปี เสี่ยงกับระเบิดว่อนข้ามหัว แล้วก็กลับมาเล่าว่าการทำเกษตรกรรมของอิสราเอลก้าวหน้าขนาดไหน เกษตรกรรมแบบน้ำหยดก็เจอก
ฉบับก่อนพูดเรื่องเกษตรกรในอเมริกา มีคนถามมาว่า เกษตรกรของอเมริกาทำงานหนักเหมือนเกษตรกรไทยไหม ประเภทหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินเหมือนกันไหม ฉันว่าเขาก็ทำงานหนักนะ แต่มันหนักคนละอย่าง เกษตรกรของอเมริกามีเครื่องไม้เครื่องมือช่วยในการทำงานมาก เขาใช้เครื่องจักรในการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว นั่นเพราะวิทยาการเขาก้าวหน้าไป ค่าแรงเขาแพง และภาครัฐช่วยเหลือเขาในเรื่องเงินทุนสนับสนุนและสารพัดวิธี มองอย่างเป็นธรรม รัฐบาลไทยเองก็ไม่ได้ละทิ้งเกษตรกร เพียงแต่ความช่วยเหลือของรัฐไทยมักไม่ใช่วิธีการถาวร ต่อเนื่องและยั่งยืน แต่เป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้า เช่น รับซื้อผลผลิตราคาสูงกว่าท้องตลาด แต่กระบวนการผลิตไม่ได้รับความช่วยเหลือ เราเอาความช่วยเหลือไปผูกกับวัตถุประสงค์ทางการเมืองระยะสั้น (อเมริกาก็ผูกกับการเมือง แต่เขามองยาวกว่าการเลือกตั้งครั้งใดครั้งหนึ่งเท่านั้น) ชาวนาไทยจึงยังคงอยู่กับวิธีการดั้งเดิม ผลผลิตต่อไร่แบบเดิมๆ ขณะที่ประเทศอื่นเขาก้าวข้ามไปหมดแล้ว กระทั่งเวียดนามที่ไม่กี่ปีก่อนยังไล่หลังไทยอยู่ห่าง กลับมาเรื่องเกษตรกรของอเมริกาลำบากไหม ฉันยืนยันว่า ลำบากมาก ยกตัวอย่างอีกทีคือ รัฐวิสค
เราเข้าใจว่าพื้นที่อุดมสมบูรณ์ทำนาทำไร่กันมาเป็นร้อยๆ ปีอย่างบ้านเรานี่แถบเอเชียที่น่าจะเป็นแถบที่ทำการเกษตรมากที่สุด แต่เอาจริงกลับเป็นทวีปที่แห้งแล้งอย่างแอฟริกา เขาทำเกษตรกรรมกันเกือบครึ่งหนึ่งของทวีปที่ทั้งร้อนทั้งแล้ง อากาศและสภาพดินไม่เป็นใจสุดๆ แต่ทำไมเขายังทำการเกษตร? เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้โดยไม่ต้องไปร่ำเรียนเขียนอ่านใดๆ ความยากจนทำให้คนจำนวนมากไม่ได้เรียนหนังสือ ไร่นาแม้มันจะแตกระแหงดูไร้หวัง มันก็เป็นที่เดียวที่พวกเขาจะพึ่งพาได้ เกษตรกรรมในแอฟริกามีปัญหาและอุปสรรคมาก ส่งผลต่อความมั่นคงด้านอาหารและการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งทวีปมหึมาที่มีประชากร 1,300 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 5 ของประชากรโลก ทั้งยังเป็นทวีปที่มีประชากรเติบโตเร็วที่สุดในโลก อัตราเพิ่มประชากรเฉลี่ยอยู่ที่ 2.4 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ประชากรของแอฟริกาส่วนใหญ่หรือเกือบครึ่งอาศัยอยู่ในเขตเมืองเพราะมีสาธารณูปโภคที่ดีกว่า เมืองที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาคือ ไคโรของประเทศอียิปต์ เคปทาวน์ของแอฟริกาใต้ ลากอสของไนจีเรีย และโจฮันเนสเบิร์กของแอฟริกาใต้อีกเช่นกัน แอฟริกาใต้เป็นชื่อประเทศ ไม่ได้หมายถึงทวีปแอฟริกาใต้แต่อย่างใด เอาจริ
วันก่อนเราพูดกันถึงเรื่องชาวสวนองุ่นในประเทศตูนิเซีย ประเทศทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา กำลังทุกข์หนัก เพราะองุ่นตายเกือบครึ่งจากความร้อนที่สูงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำความเสียหายให้เกษตรกรรมองุ่น ต่อเนื่องไปถึงอุตสาหกรรมไวน์ ซึ่งเป็นผลผลิตหลักในแอฟริกาทางตอนเหนือไปจนถึงทวีปยุโรป ที่อยู่เหนือขึ้นไปหน่อยเดียว วันนี้เราจะพูดถึงแหล่งปลูกองุ่นสำคัญกว่าใหญ่กว่า และอยู่ในยุโรป แต่เป็นยุโรปทางใต้สุด ที่ต่อเนื่องกับพื้นที่เหนือสุดของแอฟริกา เป็นภูมิภาคหลักของการปลูกองุ่นของโลก องุ่นโปรตุเกส หนึ่งในผู้ผลิตองุ่นรายสำคัญของโลก กำลังเผชิญหน้ากับอันตรายที่อาจมีผลถึงความอยู่รอด มันไม่ใช่มาจากความร้อนของโลกเหมือนกรณีของตูนิเซีย แต่มาจากน้ำมือมนุษย์ มันมาจากกฎหมายที่พวกเขาบอกว่าล้าสมัย เก่าแก่เกินจะเอามาใช้กับโลกที่เปลี่ยนแปลงมากแล้ว โปรตุเกสปลูกองุ่นตามขั้นบันไดบนหุบเขาสูงที่มีอากาศเย็นสบาย อย่างเช่นที่เมือง Douro ที่มีทั้งไร่องุ่นสุดลูกหูลูกตา เป็นแหล่งผลิตองุ่นสำคัญของประเทศ และเป็นท่าเรือส่งออกไวน์ของประเทศ เมืองนี้มีชื่อเสียงในหมู่คนดื่มไวน์ จะพากันเดินทางมาจากทั่วโลก โดยเฉพาะฤดูร้อนจะหนาแน่นเป็
ฉันมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับหลายหน่วยงานในการคัดเลือกองค์กรที่ทำงานด้านอาหารทั่วโลก เพื่อคัดเลือกให้ได้รับรางวัล Food Planet Prize ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้หน่วยงานที่ทำงานด้านอาหารที่เป็นมิตรต่อโลก คือเน้นเรื่องอาหาร ขณะเดียวกัน ก็ต้องปกป้องโลกด้วย ซึ่งก็นับว่าลำบากอยู่ เพราะอาหารก็จำเป็น แต่การผลิตอาหารก็ทำให้โลกร้อนขึ้นทุกวัน Food Planet Prize เป็นรางวัลที่นับว่าใหญ่ที่สุดในวงการ รางวัลชนะเลิศได้เงินถึง 2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 60 ล้านบาท มีโครงการต่างๆ ทั่วโลกส่งผลงานของตนเองเข้าชิงรางวัลอย่างจริงจัง ที่ฉันจะเอามาเล่าคือหนึ่งโครงการที่เฉียดรางวัลชนะเลิศนั้นตั้งอยู่ในประเทศไทย ทำงานเกี่ยวกับข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลักของเรา โครงการนี้เข้ารอบสุดท้ายมาแล้วสองปีติดต่อกัน แต่น่าเสียดายที่ไปแพ้ในรอบชนะเลิศ แต่ก็มีรายละเอียดที่เราควรเอามาเล่าสู่กันฟัง ฉันนี่ถ้าไม่ได้ทำงานกับเขาในโครงการนี้ ก็คงไม่รู้ว่าเรามีเรื่องอะไรดีๆ แบบนี้ในบ้านเราด้วย มันเริ่มต้นจากความจริงที่ว่าข้าวเป็นพืชที่ใช้น้ำมากที่สุด ในขณะที่ประชากรครึ่งหนึ่งของโลกกินข้าวเป็นอาหารหลัก ทำอย่างไรจะมีข้าวเพียงพอแก่คนครึ่งโลกในขณะที่น้ำ
สิงคโปร์บริโภคข้าวปลาอาหารเยอะกว่าเพื่อนบ้านอื่น เพราะคนมีกำลังซื้อมาก เป็นประเทศร่ำรวยที่พยายามส่งเสริมให้ประชาชนมีรสนิยมสูงตามรายได้และมาตรฐานของประเทศ ดังนั้น แม้จะผลิตได้ แต่ก็ยังต้องนำเข้าส่วนใหญ่ สิงคโปร์หลีกเลี่ยงพึ่งพาการนำเข้าประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป ป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การเกิดโรคระบาด ในประเทศที่ผลิต ปัญหาของผลผลิตที่เกิดจากประเทศเพื่อนบ้านที่อาจจะไม่ได้มาตรฐาน อันตรายจากสถานการณ์ของประเทศที่นำเข้าอาหาร เช่น การหยุดงานประท้วงหรือปิดท่าเรือ ทำให้ส่งอาหารมาสิงคโปร์ไม่ได้ หากเป็นอาหารสด เขานิยมสั่งประเทศใกล้ๆ รวมทั้งประเทศไทย ที่คนสิงคโปร์บอกฉันเองว่า ส่งสินค้าที่มีคุณภาพกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบนี้ แม้ราคาจะสูงกว่า แต่คุ้มค่า และราคาที่แพงกว่านิดหน่อย สิงคโปร์ไม่มีปัญหา มีคนไทยส่งอาหารสด ทั้งผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ ไปขายที่สิงคโปร์กันมาเนิ่นนาน แต่สำหรับฉันที่รู้จักสิงคโปร์ดี ยืนยันว่ายังไม่พอ เรายังส่งไปได้มากอีกมาก ไทยมีโอกาสมากเพราะของเราดีและเราไม่ค่อยมีท่าทีแข็งกร้าวกับลูกค้าเหมือนมาเลเซีย ตัวเลขอย่างเป็นทางการบอกว่าคนสิงคโปร์ 1 คน กินผัก 100 กิโลกรัม ผลไม้
สิงคโปร์กับมาเลเซียนั้นมีความสัมพันธ์แบบตบจูบมาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่ทั้งสองประเทศได้รับอิสรภาพจากอังกฤษเมื่อราว 60 ปีก่อน อังกฤษมัดรวมสองประเทศนี้เข้าด้วยกันแล้วโยนให้ไปอยู่ด้วยกัน (เหมือนที่จับพม่ามัดรวม อินเดียกับปากีสถานมัดรวม และอีกหลายประเทศในแอฟริกามัดรวม) ไปหาทางสร้างเป็นประเทศใหม่ขึ้นมากันเอง เรียกว่าสหพันธรัฐมลายา ใช้เวลาสองสามปี ก็แพแตก มาเลเซียไล่ให้สิงคโปร์ไปตั้งประเทศตัวเอง ไม่ยอมให้อยู่ด้วย เพราะสิงคโปร์มีคนจีนเยอะ มาเลเซียไม่ไว้ใจ ไม่อยากให้อยู่ร่วมกับชนชาติมุสลิมของตนเอง และตอนนั้นสิงคโปร์ก็เป็นเกาะเล็กๆ ไม่มีทรัพยากร ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นบ้านเมืองที่เจริญเติบโตขึ้นมาได้ มาเลเซียไม่อยากต้องเลี้ยงดูอุ้มชูสิงคโปร์ ไม่อยากมีภาระ วันที่มาเลเซียอัปเปหิสิงคโปร์ออกมาจากประเทศที่กำลังจะก่อร่างสร้างตัวใหม่นั้น ลีกวนยูนักการเมืองสำคัญของสิงคโปร์ ผู้นำการเจรจาก็ต้องแถลงข่าวรันทดนี้ให้คนสิงคโปร์รับรู้ เขาพูดแล้วสะอื้นติดที่ลำคอ แล้วเขาก็ร้องไห้ สิงคโปร์ทั้งประเทศหลั่งน้ำตา พวกเขาไม่มีที่ไป ไม่มีใคร กระทั่งมาเลเซียจะรู้ว่า 40 ปีให้หลัง สิงคโปร์ภายใต้การนำของลีกวนยิว จะกลายเป็นประเทศเจ
กลางปี 2564 ชาวไร่ชาวนาศรีลังกาออกมาประท้วงรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ชาวไร่ชาวนาในประเทศนี้ส่วนใหญ่ยากจน ไร้สิทธิไร้เสียง และต้องเจียมเนื้อเจียมตนอยู่เรื่อยมา เพราะแม้ว่าเกษตรกรจะเป็นกระดูกสันหลังของศรีลังกา แต่ก็เช่นเดียวกับที่เกษตรกรเป็นกระดูกสันหลังของไทย คือจน มันเริ่มจากประธานาธิบดีชื่อ นายราชปักษา สั่งห้ามนำเข้าปุ๋ยเคมีและสารเคมีเพื่อการเกษตรเข้าประเทศ ระบุว่าเพื่อให้เกษตรกรรมของศรีลังกาเป็นผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษ ประชาชนจะได้กินอาหารที่ปลอดภัย และส่วนที่จะส่งออกไปต่างประเทศก็จะเป็นสินค้าระดับบน ราคาแพง เหมือนสินค้าปลอดสารพิษทั่วโลก เหมือนจะดีอย่างหาที่สุดมิได้ แต่ความจริงคือโกหก ที่จริงมันเป็นเพราะประเทศเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว ถูกไอเอ็มเอฟควบคุมให้ลดการนำเข้า ไม่รู้จะไปลดตรงไหนกดตรงไหน เลยกดเอากับชาวไร่ชาวนาที่ไม่มีทางสู้ ศรีลังกานั้นอุดม เพราะเป็นเมืองเกาะ น้ำท่าบริบูรณ์ อากาศร้อนชื้นเหมือนเมืองไทย ผักปลาอาหารจึงไม่ต่างกัน เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำเหมือนกัน ศรีลังกาปลูกต้นหอม หอมแดง กระเทียม หัวปลี ขนุนดิบ ถั่ว มะเขือ ฟักทอง มะระขี้นก กระเจี๊ยบ ถั่วฝักยาว มะเขือยาว แตง ข
เนเธอร์แลนด์หรือฮอลแลนด์ ขึ้นชื่อลือชาแบบไม่มีใครกล้าท้าทายในเรื่องความสวยงามของอาคารบ้านเรือนที่ก่อร่างกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 หรือ 400 กว่าปีมาแล้ว แต่ยังอยู่ในสภาพสวยงามได้รับการบำรุงรักษาดีเยี่ยม คลองอายุเท่ากับเมืองที่ขุดต่อเนื่องครอบคลุม ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติล้ำค่าของ UNESCO เดินดูบ้านเมือง พิพิธภัณฑ์ ล่องเรือในคลอง เดินเล่นใน Vondelpark สวนสาธารณะกว้างเกือบ 300 ไร่ใจกลางเมือง คลองในอัมสเตอร์ดัมไม่ได้มีไว้แค่ล่องเรือ มันถูกขุดขึ้นเพื่อขนส่งอาหารและสินค้าจากชนบทเข้ามายังใจกลางเมืองให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ก็ควบคุมน้ำระดับหนุนจากทะเล และยังใช้เป็นปราการป้องกันการรุกรานที่อาจเกิดขึ้น ทำให้คลองที่นี่มีลักษณะเฉพาะ กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองหลวงของประเทศ จึงถูกรักษาอย่างดี บ้านริมคลองของเขาก็สวยสุด คลองบางคลองมีสะพานข้ามมากถึง 15 สะพาน แต่สะพาน De Magere Brug ข้ามแม่น้ำ Amstel น่าจะเป็นสะพานที่มีชื่อเสียงที่สุดในอัมสเตอร์ดัม สร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477 เชื่อมระหว่างสองฝั่งแม่น้ำใกล้กับเคิร์กสตราต แต่วันเวลาที่สวยที่สุดของเนเธอร์แลนด์คือฤดูร้อน ไล่จากปลายเดือนมีนาคมถึ
สื่อทั่วโลกกำลังรายงานถึงวาระครบรอบสองปีของการรัฐประหารครั้งล่าสุดในพม่า เป็นสองปีที่แผ่นดินอาบเลือด บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ผู้คนล้มตายหลายพัน ถูกจับถูกทรมาน พลัดที่นา คาที่อยู่ หนีตายเข้าไปในป่า หรือไม่ก็หนีตายข้ามมาบ้านเรา เรื่องความทุกข์ของคนพม่าในระยะสองปีที่ผ่านมานั้นเป็นเรื่องจริง จริงเสียยิ่งกว่าจริง แต่ที่จริงกว่าและไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือความทุกข์ทรมานนี้ไม่ได้มีมาแค่สองปี แต่มันยาวนานกว่าเจ็ดสิบปี เรียกว่าเริ่มมาตั้งแต่ประเทศประกาศเอกราชในวันที่ 4 มกราคม 2491 พม่าถูกสาปให้อยู่กับความขัดแย้งมาแต่เริ่มต้น อังกฤษจับเอาบ้านเมืองที่เคยอยู่เป็นอิสระต่อกันและกันมามัดรวมแล้วโยนให้ไปหาทางออกกันเอง ไปรบกันเองทะเลาะกันเอง เอารัฐกะเหรี่ยง รัฐคะฉิ่น รัฐฉาน รัฐมอญ ซึ่งล้วนเคยเป็นอิสระมัดรวมแล้วให้ชื่อว่าประเทศพม่า ซึ่งหมายถึงให้ชนกลุ่มเชื้อไขพม่าเป็นเจ้าของประเทศ ทำให้เกิดสงครามระหว่างกองทัพพม่ากับชนกลุ่มน้อยนับแต่นั้น ชนกลุ่มน้อยที่เคยเป็นรัฐอิสระ พบว่าพอพ้นจากการปกครองของอังกฤษ พวกเขาก็ต้องอยู่ใต้การปกครองของพม่าอยู่ดี ทั้งที่เคยสัญญิงสัญญากันว่าจะให้สิทธิในการปกครองตนเองเป็นอย่างต่ำ อย่างที่ค