เลี้ยงสัตว์
เกษตรกรสาวสวยบึงกาฬ ที่ชาวโซเชียลรู้จักในนาม “เด็กเลี้ยงควาย by ใบเตย” จากเด็กเลี้ยงควายไล่ทุ่งเริ่มจากเลี้ยงแก้เหงากลายมาเป็นความชอบ ทำรายได้สูงสุดหลักล้านต่อปี เพื่อที่จะพัฒนาให้เป็นควายงามส่งเข้าประกวด โดยเริ่มพัฒนาจากแม่พันธุ์ควายเนื้อ เป็นควายงาม แรงบันดาลใจที่ทำให้เปลี่ยนความคิดและมุมมองเกิดขึ้นตอนไปเห็นควายในสนามประกวด คุณสริฏา เดชา หรือ คุณใบเตย เจ้าของโขงนทีฟาร์มควายไทย ตั้งอยู่ที่ หมู่ 10 ตำบลโพธิ์หมาแข้ง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ เรียกได้ว่าเป็นวัยรุ่นสาวดีกรีปริญญาตรี จบจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ สาขาสัตวศาสตร์ เอกการผลิตสุกร ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จบเอกสายโคกระบือโดยตรง คุณใบเตย เล่าว่า ยังไงก็สามารถพัฒนาได้เหมือนหมู หลังจากนั้นก็ได้ศึกษาและเลี้ยงพัฒนาให้เป็นควายงามที่ดี นิสัยความน่ารักของควาย เขาพูดไม่ได้แต่สามารถแสดงพฤติกรรมให้เห็น ความยากของการเลี้ยงควายที่พัฒนา คือ ความอดทน และระยะเวลา เนื่องจากควายที่พัฒนาจะใช้ระยะเวลาในการตั้งท้องเกือบปี กว่าจะได้แม่พันธุ์ต้องใช้ระยะเวลา 2-3 ปี เรื่องของความอดทนจึงมาก่อน จุดเริ่มต้นที่สนใจ เกิดจากการที่เราจะซื้อควายงามมาเลี้ยงแต่ไม่รู้ประวัติ
เลี้ยงสัตว์ 8 ชนิดเป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ใครกำลังมองหาอาชีพเสริม การเลี้ยงสัตว์ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจ ที่ควรศึกษา เพื่อสร้างอาชีพเป็นธุรกิจได้ บางคนอาจจะเริ่มจากสิ่งที่ชอบ จากสิ่งที่รัก ให้กลายเป็นอาชีพที่มีรายได้มากกว่างานประจำที่ทำก็เป็นได้ไม่ยาก เพียงแค่ลุย ลงมือทำ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ช้า วันนี้เทคโนโลยีชาวบ้าน ได้รวบรวม “เลี้ยงสัตว์ 8 ชนิดเป็นอาชีพเสริม สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ” มาเป็นไอเดียให้สำหรับคนที่อยากเริ่มต้นเลี้ยงสัตว์สร้างรายได้ แต่ไม่รู้จะเลี้ยงอะไรดี ลองเอาไอเดียเหล่านี้ไปศึกษาการเลี้ยงเพิ่มเติม ทุกการเริ่มต้นอาจจะยากสำหรับมือใหม่ ปูนา หากใครอยากเลี้ยงปูนาให้ตัวเบิ้มๆ ตัวอวบ แข็งแรง ต้องเริ่มจากการเข้าใจพฤติกรรมของปูนา อาหารที่ใช้เลี้ยง รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ใช้เลี้ยงปูนาเองก็สำคัญ เพราะสภาพแวดล้อมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ปูนาเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ การเพาะเลี้ยงนั้น จะเลี้ยงในบ่อปูนซีเมนต์ มีการใส่ดินเพื่อป้องกันการหลุดของขาปู รวมทั้งควรมีที่หลบภัยเนื่องจากช่วงที่ปูลอกคราบปูมักจะกินกันเอง และต้องมีคอกป้องกันปูไต่หนี ส่วนอาหารจะให้เป็นอาห
หลายคนเมื่อได้ยินแล้วอดนึกขำ หัวเราะว่า นอนนาแก้จนได้อย่างไร วันนี้มีโอกาส เดินทางไปตามคำบอกของชาวบ้านว่า มีผู้ทำโครงการนอนนาแก้จน มีชาวบ้านเข้าร่วมโครงการและนำไปเป็นตัวอย่าง ที่บ้านบัว พบกับเจ้าของสวนและโครงการ หลังทักทายกันแล้ว ก็พาเที่ยวชม ดร.พลังพงศ์ คำจวง กรรมการบริหาร ศูนย์อุตสาหกรรมบัวแก้วธานี อยู่บ้านเลขที่ 224 หมู่ที่ 5 บ้านบัว ตำบลสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร เล่าถึงความเป็นมาของโครงการชวนนอนนาแก้จนว่า แต่เดิมก็ทำนา ทำสวน หลังจากเรียนหนังสือจบก็เคยคิดที่จะทำงานราชการ แต่ชีวิตก็ไปทำธุรกิจหลายอย่าง และสุดท้ายก็มาทำโรงงานตัดเสื้อผ้า และผลิตถุงกอล์ฟส่งประเทศญี่ปุ่น แต่จากปัญหาภาวะเศรษฐกิจจึงหยุดไปช่วงหนึ่ง แต่ยังคงผลิตเสื้อผ้าเช่นเดิม ในช่วงนั้นก็หันมาลงเล่นการเมืองระดับท้องถิ่น ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นนายกเทศบาลตำบลบัวสว่าง และเนื่องจากมีแนวคิดโครงการช่วยชาวบ้าน จึงคิดโครงการ “นอนนาแก้จน” ขึ้น พร้อมกับโครงการขยายไฟฟ้า เพื่อเป็นฐานของการทำโครงการ ต่อมาได้ลงมือทำเองเพื่อเป็นการนำร่อง ให้ชาวบ้านเห็น ฟื้นวิถีชีวิตชุมชน คนในหมู่บ้าน หันมาทำจริงจัง พร้อมยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเ
วันนี้ได้รับคำแนะนำจาก คุณร่มไม้ นวลตา เกษตรจังหวัดสกลนคร ว่า มีเกษตรกรที่บ้านคำประมง ตำบลบัวสว่าง อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร มีชีวิตแนวคิดที่อยากให้ครอบครัวโดยเฉพาะลูกๆ ยึดอาชีพการเกษตร ทำไร่ ทำนา เลี้ยงสัตว์ ที่บรรพบุรุษยึดทำกินเลี้ยงปากท้องคนบนโลกนี้มานานแสนนาน น่าสนใจนำมาบอกเล่าเปิดเผยให้ทราบทั่วไป จึงขับรถยนต์ออกจากจังหวัดสกลนคร เดินทางมุ่งหน้าสู่บ้านคำประมง ตามถนนสายสกลนคร-อุดรธานี เมื่อพ้นเขตเทศบาลนครสกลนคร ราว 5 กิโลเมตร ก็จะพบเพิงไม้ร้านขายมันสำเภา (มันแกว) มาวางขายเรียงรายตั้งแต่ แยกหน้าราชภัฏสกลนคร เรื่อยมาถึงบ้านพังขว้างใต้หลายกิโลเมตร มองเห็นแล้วชุ่มชื่นหัวใจ ที่มีผลผลิตออกมาวางขาย หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ถิ่นนี้ “แอ่งสกลนคร” พอเข้าเขตบ้านพาน ผ่านเทศบาลดงมะไฟ มองเห็นน้ำเจิ่งนองตามสองฟากข้างถนน ชาวนากำลังบังคับควายเหล็กเสียงคำรามดังสนั่นลั่นทุ่ง บางที่มีชาวบ้านดำนาและหว่านข้าว บางแห่งเริ่มเขียวขจีมองแล้วเพลินตาสบายใจ เลยเทศบาลตำบลดงมะไฟ ราว 2 กิโลเมตร ก็เข้าเขตพื้นที่อำเภอพรรณานิคม ถึงสามแยกไฟแดง ชาวบ้านเรียกว่า “สามแยกสูงเนิน” เลี้ยวขวาไปตามถนนสูงเนิน-เซกา ผ่านบ้านพอกใหญ่
ธรรมชาติ มีความหลากหลายของพืชพรรณที่ขึ้นปะปนกันไป อยู่ร่วมกันอย่างพึ่งพาอาศัยกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ร่วมกันใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่ก็สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดฤดูที่ผ่านไป การเลียนแบบธรรมชาติในการทำไร่นาสวนผสม ด้วยการปลูกพืชหลายชนิดปะปนกัน โดยคำนึงถึงชนิดของพืชแต่ละชนิดว่ามีจะเจริญโตได้ดีในสภาพเช่นใด ซึ่งการวางแผนและระบบนั้นจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการตลอดไปทุกระยะตั้งแต่การปลูก การดูแลบริหารจัดการน้ำ ปุ๋ย การป้องกันกำจัดศัตรูพืช การเก็บเกี่ยว และการขนส่ง การจัดทำไร่นาสวนผสมแต่คนจะมีความแตกต่างกัน เช่น “สวนธรรมพอดี” เป็นสวนที่อยู่ท่ามกลางกลางทุ่งนามีพืชหลากหลายปลูกปะปนกัน หลายคนมองเห็นแล้วนึกเสียดายพื้นที่และตำหนิในเริ่มแรกที่พบเห็นสวนที่รกรุงรัง คิดว่าเจ้าของสวน “ขี้เกียจ” ไม่ดูแล แต่พบว่า เจ้าของสวนนี้ มีผลผลิตพืชหลายชนิดวางจำหน่ายในตลาดนัดเป็นประจำ คุณนิตยา บุญจันทร์ เกษตรกรต้นแบบการบริหารจัดการศัตรูพืช ประจำศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าการเกษตรอำเภอหันคา (ศพก.) บ้านเลขที่ 146 หมู่ที่ 6 ตำบลห้วยงู อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท กล่าวว่า หลังจากจบก
สวัสดีค่ะ ผู้อ่านท่านผู้เจริญคะ ท่านเคยคิดกันหรือไม่ว่า ที่ดินในไทยแลนด์แดนมหัศจรรย์นั้น มันไม่มีทางงอกออกมาได้ สมมติว่ารุ่นปู่ รุ่นย่า ของเราอาจจะเคยครอบครองที่ทำกินเป็นร้อยไร่ ตกมาถึงมือพ่อแม่เรา 20-30 ไร่ พอมาถึงมือเราเหลือที่ดิน 5-10 ไร่ แล้วลูกหลานของเราจะเหลือที่ดินกันคนละกี่ไร่ จำนวนคนไทย ลูกท่าน หลานเดี๊ยน ที่เกิดมาทุกวันจนใกล้ 70 ล้านคน อยู่รอมร่อ จะมีโอกาสเป็นเจ้าของที่ดินกันคนละกี่ไร่ แล้วที่ดินที่มีกันคนละเท่าแมวดิ้นตายนั้น เราจะปลูกอะไรเอาไว้กินไว้ขายได้บ้าง เราท่านเคยคิดกันไว้หรือยังคะ ถ้ายังรันตีขอพาไปชม “โครงการ 1 ไร่ไม่ยากจน” ของมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี กันค่ะ ที่มาของโครงการ ฟาร์ม 1 ไร่ไม่ยากจน รันตี พาท่านมาพบกับ อาจารย์ธนากร เที่ยงน้อย อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์การเกษตร และดำรงตำแหน่ง รองหัวหน้าสำนักวิชาสหวิทยาการ ด้านบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี และยังเป็นหัวหน้าโครงการ “ฟาร์มเกษตรและอาหารปลอดภัย 1 ไร่ไม่ยากจน” อาจารย์เล่าที่มาที่ไปของโครงการนี้ให้ฟังว่า “โครงการฟาร์มเกษตรและอาหารปลอดภัย 1 ไร่ไม่ยากจน เป็นงานที่ผมเริ่มต้นทำเมื่อ ุ
จากเด็กหนุ่มบ้านนาที่ชอบการเกษตร หลังเรียนจบเกษตร จึงทำงานหาประสบการณ์หลายแห่ง สุดท้ายกลับบ้าน เข้าทำงานในส่วนราชการไม่นาน ก็ลาออกหันมาทำอาชีพเกษตรที่ชื่นชอบ จึงมาเป็น “คลังเกษตรฟาร์ม” ที่บ้านบะหว้า วันนี้พบกับ คุณขจรศักดิ์ เบ็ญชัย อาชีพทนายความ และเป็นอดีต ส.อบจ.สกลนคร เขตอำเภอวานรนิวาส ที่มีจิตใจรักด้านการเกษตร และหันมาทดลองปลูกทุเรียนในพื้นที่ตนเองจำนวนหนึ่งพร้อมทั้งปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้นอีกหลากหลายชนิด ตลอดจนสวนยางพารา และมีโอกาสร่วมเดินทางไปพบกับคนหนุ่มรุ่นใหม่ ที่ไม่สนใจการทำงานราชการ แต่หันมาพัฒนาพื้นที่นา เป็นงานด้านเกษตร โดยยึดหลักว่า “ทำเกษตร มีเกียรติ มีกิน” อยู่ที่บ้านบะหว้า ตำบลบะหว้า อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร จากจังหวัดสกลนคร มุ่งหน้าไปตามสาย สกลนคร-อุดรธานี ราว 25 กิโลเมตร มาถึงหมู่บ้านดงมะไฟ หรือที่ผู้คนทั่วไปว่าเป็นหมู่บ้าน “ปั้นดิน” ให้เป็นเงิน มีชาวบ้านทำงานอาชีพเกี่ยวกับ “ปั้นเตา” หรือแหล่งจำหน่าย “ปั้นเตา” ร้านใหญ่ของจังหวัดสกลนคร ผ่านมาตามถนนเส้นเดิมอีก 5 กิโลเมตร ก็ถึงหมู่บ้านสูงเนิน เป็นสามแยก ชาวบ้านเรียกว่า “สามแยกสูงเนิน” เลี้ยวขวา มุ่งหน้าไปตามถนนสาย บ้านสู
การทำไร่นาสวนผสม เป็นการทำงานเกษตรหลายๆ ชนิดผสมผสานกันในบริเวณพื้นที่เดียวกัน เป็นการปฏิบัติตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิต แก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดมานานกว่า 25 ปี เช่น เลี้ยงสัตว์ ทำนา ปลูกไม้ผล ปลูกพืชไร่ มีการจัดการใช้ที่ดิน เงินทุน แรงงาน และการจัดการที่ดี ใช้ปัจจัยผสมผสานเพื่อลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า คุ้มทุน เพื่อสร้างรายได้สู่ครอบครัว สู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้มั่นคงและยั่งยืน คุณเจษฎา จันทสร อายุ 35 ปี เดิมทีเป็นชาวกรุงเทพมหานคร แต่ปัจจุบัน ได้มาปักหลักปักฐานอยู่ที่บ้านภรรยาชาวจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่ บ้านโคกสว่าง หมู่ที่ 9 ตำบลค้อน้อย อำเภอสำโรง จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันนี้ คุณเจษฎา จันทสร และ คุณมะลิจันทร์ เวียงคำ ผู้เป็นภรรยา ดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียง โดยได้ช่วยกันทำมาหากินด้วยการทำไร่นาสวนผสม ดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวง รัชกาลที่ 9 ทั้งปลูกพืชผัก ผลไม้ เลี้ยงสัตว์บก สัตว์น้ำขาย สร้างรายได้อย่างงดงาม ท่ามกลางความสุขกับโซ่ทองคล้องใจ จำนวน 5 คน ไ
ซีพีเอฟ แนะนำให้เกษตรกรได้ปรับวิธีการเลี้ยง และเน้นดูแลสุขภาพสัตว์และโรงเรือน เพื่อลดความเครียดของสัตว์และป้องกันความเสียหายต่อฝูงสัตว์ จากภัยแล้ง น.สพ.นรินทร์ ร่มลำดวน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ศูนย์วินิจฉัยโรคสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ประเทศไทยต้องเผชิญภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี นับแต่ปี 2522 โดยเฉพาะพื้นที่แล้งซ้ำซาก ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ตอนบน ดังนั้น เกษตรกรจึงจำเป็นต้องเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยการดูแลความเป็นอยู่ของสัตว์ให้เหมาะสม เพื่อให้สัตว์ไม่เจ็บป่วย และเกิดความเครียดสะสม สำหรับการเลี้ยงไก่เนื้อและไก่ไข่ ปกติจะต้องกินน้ำอย่างน้อย 2 เท่าของปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวัน หากขาดน้ำเกินร้อยละ 20 ไก่จะกินอาหารลดลง เกิดภาวะเครียด อัตราการเจริญเติบโตต่ำ ผลผลิตและภูมิคุ้มกันโรคลด มีโอกาสติดเชื้อโรคได้ง่าย กรณีที่ไก่ได้รับน้ำไม่เพียงพอสังเกตได้จากอาการที่แสดงออก เช่น อาการซึม แข้งไก่มีลักษณะแห้งจากสภาพแห้งน้ำ และหากไก่สูญเสียน้ำไปกว่า 1 ใน 10 ส่วนของน้ำที่มีอยู่ในร่างกาย จะทำให้ไก่ตายได้ นอกจา
คณะผู้จัดงานฮอร์ติ เอเชีย และวารสารเคหการเกษตร พาสื่อมวลชนเข้าชม หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ บ้านหนองสามพราน ตำบลวังด้ง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี คุณพิเชษฐ์ เจริญพร ผู้ใหญ่บ้านหนองสามพราน ผู้รับผิดชอบโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ให้การต้อนรับคณะ นับได้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นตัวอย่างของเกษตรกรในการใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ผู้ใหญ่พิเชษฐ์ เล่าว่า เดิมทีพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นไร่อ้อย ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นศูนย์เรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่บ้านหนองสามพราน โดยมีเนื้อที่ทำศูนย์เรียนรู้แห่งนี้มี 20 ไร่ ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับมาจากหน่วยงานของจังหวัดกาญจนบุรี เนื่องจากพื้นที่ตรงนี้มีองค์ประกอบที่หลากหลาย ที่เหมาะแก่การทำพืชสวนเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะแหล่งน้ำ ซึ่งเป็นหัวใจที่สำคัญในการทำการเกษตร โดยโครงการนี้เริ่มจัดทำเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ผ่านมา คุณพิเชษฐ์ เจริญพร ผู้ใหญ่บ้านหนองสามพราน ผู้รับผิดชอบโครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ “พื้นที่นี้อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ซึ่งเป็นพื้นที่จัดสรร คนละ 10 ไร่ เลยดูคับแคบไปห