ไข่ผำ
“ผำ” หรือ “ไข่น้ำ” อาหาร super foods ของโลก ฉายาว่า “Green Caviar” ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ เพราะมีโภชนาการครบถ้วนสูงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก อุดมไปด้วยวิตามิน โปรตีน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย สอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืนทางอาหาร ทำให้ปัจจุบันมีผู้สนใจเข้าวงการเพาะเลี้ยงไข่ผำกันเป็นจำนวนมาก เมื่อก่อนไข่ผำจะนิยมทานกันมากในภาคเหนือและภาคอีสาน มีขึ้นอยู่ตามแหล่งน้ำที่เป็นน้ำนิ่ง เช่น บึงและหนองน้ำธรรมชาติทั่วไป โดยปกติจะมีมากในแหล่งน้ำธรรมชาติที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารเคมีเจือปน เนื่องจากผำธรรมชาติจะเจริญเติบโตแพร่พันธุ์ได้ดีก็ต่อเมื่อแหล่งน้ำนั้นเป็นน้ำสะอาด ปัจจุบันมีการนำมาเพาะเลี้ยงสร้างรายได้กันมากขึ้น โดยวิธีการเพาะเลี้ยงไข่ผำมีหลากหลายวิธีดังนี้ 1.การเพาะเลี้ยงในกะละมัง หรือกระบะผสมปูน การเพาะเลี้ยงไข่ผำในกะละมังถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับคนที่มีพื้นที่น้อยกำลังเริ่มต้นหัดเลี้ยง เพื่อศึกษา ลองผิดลองถูก ใช้เงินลงทุนไม่มาก เริ่มต้นด้วยเงิน 20 บาท ก็สามารถเพาะเลี้ยงไข่ผำไว้ทานเองในครัวเรือนได้ ขั้นตอนการเพาะเลี้ยง ขั้นตอนที่ 1 ให้เริ่มจากการเตรียมบ่อหรือภาชนะที่ใช้
“ไข่ผำ” พืชจิ๋วสรรพคุณแจ๋ว ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ ณ ขณะนี้ ด้วยมีคุณค่าทางโภชนาการโดดเด่น โปรตีนสูง มาพร้อมกับวิตามินบี 12 ที่ไม่สามารถหาได้ง่ายๆ จากพืชทั่วไป ที่สำคัญเลี้ยงง่าย โตเร็ว ขายได้ราคาดีอีกด้วย สำหรับเกษตรกรท่านใดสนใจเพาะเลี้ยงไข่ผำ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่มือเก่า ควรศึกษาวิธีการเพาะเลี้ยง และศึกษาการตลาดก่อนการเพาะเลี้ยง เพื่อให้การประกอบอาชีพเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด โดยข้อสำคัญของการเพาะเลี้ยงไข่ผำนอกจากวิธีการเพาะเลี้ยงที่เหมาะสม สะอาด ได้มาตรฐาน ปลอดภัยต่อผู้บริโภคแล้ว เรื่องของสายพันธุ์ที่เลี้ยงถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญมากๆ หากเลือกสายพันธุ์ดีเหมาะสมกับพื้นที่ก็จะส่งผลดีทั้งในด้านให้ผลผลิตสูง ทนต่อสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ ลดความเสี่ยงจากศัตรูพืชและโรคระบาด ปรับให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การใช้งาน ว่าต้องการนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ หรือต้องการนำไปบริโภคเป็นอาหารคน รวมถึงโปรตีนมีมากน้อยไม่เท่ากันในแต่ละสายพันธุ์ ปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรเดินสายถ่ายทอดเทคโนโลยียกระดับเพาะเลี้ยงไข่ผำอาหารแห่งอนาคต ด้วยมาตรฐาน GAP และเพื่อให้การเพาะเลี้ยงไข่ผำได้คุณภาพและผลผลิตปลอดภัยต่อผู้บริโภค ได้ม
กรมวิชาการเกษตรหนุนคนไทยเลี้ยง “ไข่ผำ ” พืชมูลค่าสูงสู่การใช้ประโยชน์เชิงการค้า โดยเดินหน้าถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงไข่ผำสู่มาตรฐานพืชอาหาร GAP ให้แก่ผู้สนใจทั่วประเทศ.. เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 เทคโนโลยีชาวบ้าน ผู้นำสื่อออนไลน์ด้านการเกษตรครบวงจร และ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดงานสัมมนา ‘ไข่ผำ – วานิลลา: เจาะลึกโอกาสธุรกิจพืชเทรนด์ใหม่’ โดยนำเสนอเคล็ดลับการเพาะเลี้ยงพืชทั้งสองชนิด รวมทั้งวิเคราะห์ศักยภาพทางเศรษฐกิจและความต้องการของตลาด ซึ่งมีประชาชนเกือบ 300 คน สนใจเข้าฟังงานสัมมนา ณ ห้องประชุมหนังสือพิมพ์ข่าวสด ในวันและเวลาดังกล่าว อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ นโยบายการทำงานเชิงรุกของกรมวิชาเกษตรกร ภายใต้การนำของนายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ที่พูดคุยบนเวทีสัมมนาช่วง Special Talks ในหัวข้อ Renewable ปรับเกษตรไทย สู่เกษตรมูลค่าสูง ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ กรมวิชาการเกษตรกำหนดนโยบายในการพัฒนาสินค้าเกษตร รองรับภาวะโลกรวน และสร้างความมั่นคงทางอาหารในอนาคต ??? กรมวิชาการเกษตร มุ่งยกระดับการเกษตรไทยสู่ศูนย์กลางการเกษตร อาหารปลอดภัย และเป็
ไข่ผำ (Wolffia) เป็น Super Food สุดยอดของแหล่งโปรตีนทดแทน เมื่อก่อนยังไม่ค่อยมีคนรู้จักในวงกว้าง บางคนก็เรียกเพี้ยนเป็น “ไข่หำ” มาวันนี้ “ไข่ผำ” กำลังดังระเบิด ได้รับความนิยมมาก เพราะคนเริ่มรู้ถึงคุณประโยชน์และความมหัศจรรย์ของพืชเล็กๆ ชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่ไข่ของสัตว์ แต่เป็นหนึ่งในพืชน้ำ ซึ่งเป็นอาหารแห่งอนาคต ที่เป็น Mega Trend ที่น่าจับตา จากพืชน้ำในชุมชนบ้านนอกในหลายๆ จังหวัด อาทิ กาญจนบุรี จันทบุรี ฯลฯ ปัจจุบันกำลังได้รับการพัฒนาเพิ่มมูลค่า และถูกนำมาเป็น “วัตถุดิบ” เพื่อใช้ประกอบในภาคอุตสาหกรรมอาหาร นับเป็นเรื่องน่ายินดี ที่ไข่ผำจะได้ไปไกล ไปต่อ ไปเพื่อชาวบ้าน และไปเพื่อประเทศไทย บอกเลยว่า ส่วนตัวชื่นชอบและชื่นชมมากที่คนไทยไม่ทิ้งไข่ผำไว้ข้างหลัง เดิมทีไข่ผำเป็นพืชน้ำพื้นบ้านที่พบได้ทั่วไปตามห้วย หนอง คลอง บึง ซึ่งเป็นพืชลอยน้ำตระกูลแหน ลักษณะเป็นเม็ดสีเขียวๆ ขนาดเล็กจิ๋ว รูปร่างวงกลมหรือเกือบกลมขนาดเล็ก ไม่มีราก เป็นพืชดอกขนาดเล็กที่สุดในโลก ขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อ เนื่องจากเป็นพืชที่มีโปรตีนและคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารพฤกษเคมี (Phytochemical) ที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะมี
ในยุคที่ผู้คนหันมาสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น การเลือกบริโภคอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อร่างกายกำลังเป็นกระแสที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว “Superfood” หรืออาหารแห่งอนาคต ได้รับความนิยมจากทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากลักษณะเด่นที่มีสารอาหารเข้มข้นที่ส่งเสริมการรักษาสุขภาพ รวมถึงการช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาหารประเภทนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แต่ยังสามารถทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนในปริมาณที่เหมาะสม การบริโภค Superfood ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของเรา แต่ยังมีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้น้ำ และส่งเสริมระบบนิเวศในพื้นที่เพาะปลูก นอกจากนี้ การสนับสนุน Superfood จากแหล่งพื้นเมืองยังช่วยสร้างรายได้และพัฒนาชุมชนในพื้นที่ห่างไกล หนึ่งในซูเปอร์ฟู้ดที่กำลังได้รับความสนใจและเป็นที่จับตามองอย่างมากในปัจจุบัน คือ “ไข่ผำ” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่มีศักยภาพสูงในการตอบโจทย์ทั้งในด้านโภชนาการและความยั่งยืนในระยะยาว ผศ.ดร.อารักษ์ ธีรอำพน อาจารย์ประจำสาขาว
ไข่ผำเป็นพืชน้ำขนาดเล็กที่สุดในโลก จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับแหนแดงและแหนเป็ด มีการขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วและเติบโตได้ดีในแหล่งน้ำจืด และแหล่งน้ำชุมชนที่มีคุณภาพน้ำเหมาะสม เนื่องจากไข่ผำมีขนาดเล็กและแพร่กระจายได้ง่าย จึงสามารถเพาะเลี้ยงในพื้นที่จำกัดได้ ไข่ผำได้รับความนิยมในหลายภูมิภาคของไทย โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน เนื่องจากเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จากการศึกษาพบว่า ไข่ผำมีสารอาหารสำคัญ คือ พลังงาน 8 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม มีโปรตีนสูงและอุดมไปด้วยกรดอะมิโนจำเป็น เช่น ลิวซีน ไลซีน วาลีน และไอโซลิวซีน พร้อมทั้งมีเหล็ก 6.6 มิลลิกรัม ช่วยบำรุงเลือด และมีวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินเอ บี 1 บี 2 วิตามินซี และไนอะซิน เบต้าแคโรทีนและคลอโรฟิลล์สูง มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ จากงานวิจัยหลายฉบับพบว่า ไข่ผำมีคุณสมบัติที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพหลายด้าน เช่น ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย โดยเฉพาะในคนที่รับประทานอาหารที่มีสภาวะเป็นกรดสูง ช่วยบำรุงเลือด เนื่องจากมีธาตุเหล็กสูง อาจช่วยลดภาวะโลหิตจาง และเสริมสร้างระบบย่อ
ไข่ผำหรือที่บางคนเรียกว่าไข่น้ำ เป็นพืชน้ำจิ๋วที่น่าสนใจในวงการเกษตรไทย เพราะนอกจากจะมีประโยชน์แล้วยังเป็นพืชที่โตเร็วโดยใช้ระยะเวลาในการเพาะเลี้ยงเพียง 14 วัน ก็เก็บเกี่ยวผลผลิตจำหน่ายได้ สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างคุ้มค่า ไข่ผำเป็นพืชน้ำที่มีลักษณะเล็กจิ๋ว มีสีเขียวสดและเจริญเติบโตบนผิวน้ำ มีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ โดยเฉพาะโปรตีนที่มีปริมาณสูงมาก ทำให้ไข่ผำเป็นแหล่งอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับคนและสัตว์เลี้ยง การเพาะเลี้ยงไข่ผำ ในบ่อซีเมนต์ การปลูกไข่ผำไม่ซับซ้อน ใช้พื้นที่น้อยและดูแลง่าย ขั้นตอนสำคัญคือ: เตรียมบ่อปลูก: บ่อซีเมนต์หรือบ่อพลาสติกก็สามารถใช้ได้ เติมน้ำ: ควรใช้น้ำสะอาดและเติมสารอาหารที่เหมาะสม อย่างเช่นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ใส่พันธุ์ไข่ผำ: โรยพันธุ์ไข่ผำให้ทั่วบ่อ ดูแล: รักษาคุณภาพน้ำและกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่อาจกีดขวางการเติบโต ระยะเวลาเก็บเกี่ยวไข่ผำ เพียง 14 วัน หลังจากเริ่มปลูกไข่ผำจะเติบโตเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยว สามารถใช้กระชอนตักออกเพื่อนำไปล้างและบรรจุจำหน่ายได้ทันที โอกาสสร้างรายได้ จากพืชจิ๋วอย่างไข่ผำ ไข่ผำกำลังเป็นที่ต้อง
‘ไข่ผำ’ พืชอนาคตไซซ์จิ๋ว อุดมไปด้วยโปรตีนที่ให้คุณค่าทางอาหารสูง และยังขึ้นชื่อว่าเป็นพืชโปรตีนแห่งอนาคต ‘วานิลลา’ เครื่องเทศมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงอันดับ 2 ของโลก นิยมบริโภคและใช้ประโยชน์ ทั้งการแต่งกลิ่นในอาหาร ขนม ไอศกรีม อุตสาหกรรมยาและเครื่องสำอาง โดยทั้งสองชนิดได้สร้างอาชีพและทำรายได้ให้เกษตรเกษตรได้อย่างมหาศาล เพื่อเจาะลึกถึงทิศทาง ความสำคัญ และแนวโน้ม ‘เทคโนโลยีชาวบ้าน’ จึงจัดเวทีสัมมนา ‘ไข่ผำ – วานิลลา : เจาะลึกโอกาสธุรกิจพืชเทรนด์ใหม่’ ขึ้น ในวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2568 เวลา 10.30 – 16.30 น. ณ อาคารข่าวสด ถนนเทศบาลนิมิตใต้ หมู่บ้านประชานิเวศน์ 1, แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เข้าร่วมฟังฟรี ในยุคที่เทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อการเกษตรอย่างรวดเร็ว การปรับตัวให้ทันกับแนวโน้มใหม่ๆ ของพืชเศรษฐกิจย่อมจะเป็นกุญแจสร้างความยั่งยืนสำคัญทางธุรกิจและสร้างโอกาสใหม่ๆ สำหรับเกษตรกรในอนาคต ไข่ผำ และ วานิลลา ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น พืชเศรษฐกิจแห่งอนาคต นับว่าเป็นพืชที่มีศักยภาพต่อการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในระดับโลก โดยเฉพาะในย
“ไข่ผำ” หรือ “ผำ” เป็นพืชน้ำขนาดเล็กที่มีลักษณะเด่นคือสีเขียวสด รูปร่างคล้ายกับสาหร่ายหรือไข่ปลา เป็นพืชที่ไม่มีรากและใบ แต่สามารถเจริญเติบโตในน้ำสะอาด โดยมักจะลอยอยู่ตามผิวน้ำ ผำไม่เพียงแต่เป็นอาหารท้องถิ่นที่คนไทยรู้จักกันดี แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่น่าทึ่งจนได้รับการยอมรับว่าเป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” ( super food ) แห่งแหล่งน้ำอีกด้วย คุณค่าทางโภชนาการของไข่ผำ (100 กรัม) ประกอบด้วย 1. ไฟเบอร์ ไข่ผำมีไฟเบอร์เทียบเท่ากับการบริโภคขึ้นฉ่ายฝรั่งถึง 2 กำ ช่วยเสริมระบบขับถ่ายและบำรุงสุขภาพลำไส้ 2. วิตามิน A ปริมาณวิตามิน A ในไข่ผำเทียบเท่ากับการบริโภคแครอท 4 หัว ช่วยบำรุงสายตาและเสริมภูมิคุ้มกัน 3. วิตามิน B12 ไข่ผำเป็นแหล่งสำคัญของวิตามิน B12 ซึ่งมีปริมาณเทียบเท่ากับไข่ไก่ถึง 9 ฟอง ช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทและการสร้างเม็ดเลือด 4. โพแทสเซียม มีปริมาณโพแทสเซียมเทียบเท่ากับมันฝรั่ง 2 หัว ช่วยควบคุมความดันโลหิตและการทำงานของกล้ามเนื้อ 5. ฟอสฟอรัส ไข่ผำให้ฟอสฟอรัสในปริมาณเทียบเท่านมถั่วเหลือง 2 ถ้วย ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน 6. ธาตุเหล็ก ปริมาณธาตุเหล็กในไข่ผำเทียบเท่ากับบรอกโคลี 3 ถ้วย ช่วย
“ฟาร์มไข่ผำต้นแบบระดับอุตสาหกรรม โดย มทส.” ถูกออกแบบ ติดตั้ง วางผังและวางระบบฟาร์มแบบสั่งตัด การจัดการฟาร์มง่ายแต่สอดคล้องกับมาตรฐาน GAP การวางผังฟาร์มเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด (ทำน้อยได้มาก) เป็นฟาร์มต้นแบบที่มีกำลังการผลิตบ่อขนาดกลางและขนาดใหญ่สูงสุดเท่ากับ 0.5 ตันสดต่อปีต่อบ่อ 20 ตารางเมตร และ 2.6 ตันสดต่อปีต่อบ่อ 100 ตารางเมตร ตามลำดับ เหมาะสมสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ เกษตรกรสูงวัย วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการเกษตรรายเล็กและรายใหม่ สามารถนำต้นแบบนี้ไปขยายผลเชิงพาณิชย์ นอกจากเป็นการสร้างอาชีพ สร้างรายได้แล้ว ยังช่วยลดปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบต้นน้ำ/ไข่น้ำปลอดภัยโปรตีนสูงเสถียรสำหรับอุตสาหกรรมอาหารคนและอาหารสัตว์อีกด้วย สำหรับประชาชน เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการที่สนใจ สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ผศ.ดร.อารักษ์ ธีรอำพน โทร.063-645-6494, สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มทส. จังหวัดนครราชสีมา #ไข่ผำ #ฟาร์มไข่ผำต้นแบบ #มทส #อุตสาหกรรม #เทคโนโลยีชาวบ้าน