ช่วงปลายปีแบบนี้เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะมีการส่งมอบบ้านให้ลูกค้า ซึ่งผู้บริโภคอย่างเราๆ ต้องรู้ทั้งสัญญาที่เกี่ยวข้องและการตรวจรับโอนบ้าน มันนี่ทิปมีข้อมูลจากธนาคารกสิกรไทยมาฝากกันค่ะ
สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม ผู้ซื้ออาจต้องทำสัญญาถึง 3 สัญญา ได้แก่ 1. สัญญาจองซื้อ เป็นสัญญาแรกที่เกิดขึ้น แต่อาจไม่ได้เกิดกับผู้ซื้อทุกคน สัญญาประเภทนี้ คือ เมื่อผู้ซื้อตกลงใจที่จะซื้อบ้านก็ต้องวางเงินจองเอาไว้ก่อน กรณีที่ซื้อบ้านที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนไม่ต้องทำสัญญานี้ ซึ่งสัญญาจองซื้อนี้ระบุเงื่อนไขให้ผู้ซื้อต้องผ่อนเงินดาวน์ตามรายการแนบท้ายสัญญา แต่สัญญาจองซื้อนี้จะมีข้อเสียเปรียบตรงที่ หากผู้ขายได้รับใบอนุญาตให้ปลูกสร้างจากหน่วยงานราชการแล้ว ผู้ซื้อต้องเข้ามาทำสัญญาจะซื้อจะขายอีกครั้ง และมักมีเงื่อนไขระบุว่า หากไม่มาทำสัญญาจะซื้อจะขาย จะถือเป็นการยกเลิกสัญญาและจะริบเงินมัดจำทั้งหมด แต่หากครบกำหนดผ่อนชำระแล้ว ผู้ขายไม่สามารถขออนุญาตก่อสร้างได้ก็จะคืนเงินให้แต่ไม่มีดอกเบี้ย2. สัญญาจะซื้อจะขาย เป็นสัญญาที่กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำ แต่เพื่อความมั่นใจของทั้ง 2 ฝ่าย จึงเกิดสัญญาจะซื้อจะขายขึ้น เมื่อครบกำหนดผู้ขายมีหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์บ้านโดยทำสัญญาซื้อขาย หากผู้ซื้อผิดสัญญา ผู้ขายสามารถยกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำหรือเงินดาวน์ที่ผ่อนมาได้ตามกฎหมาย หากผู้ขายผิดสัญญา ผู้ซื้อสามารถฟ้องให้โอนกรรมสิทธิ์ได้ หรือยกเลิกสัญญาและให้คืนเงินพร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ผิดนัดและ 3. สัญญาซื้อขาย หรือ หนังสือสัญญาขายที่ดิน เป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ทำ โดยวันที่เซ็นสัญญาเป็นวันที่กรรมสิทธิ์ในตัวบ้านจะโอนมาเป็นของคนซื้อ ดังนั้น ผู้ขายต้องแจ้งผู้ซื้อล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ก่อนวันทำสัญญาซื้อขาย สำหรับผู้ซื้อในวันทำสัญญาซื้อขายจะเป็นวันที่พร้อมชำระเงินหรือได้รับสินเชื่อจากธนาคารพร้อมที่จะจ่ายเงินให้กับผู้ขาย และเป็นวันที่ผู้ซื้อต้องเซ็นสัญญาซื้อขายที่สำนักงานที่ดิน จดทะเบียนการโอน และจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแต่ก่อนที่จะทำสัญญาซื้อขายผู้ประกอบการจะให้ผู้ซื้อตรวจบ้านและจะทำการแก้ไขให้ก่อน ส่วนผู้ซื้อจะมีข้อสังเกตอย่างไรบ้างนั้น ติดตามต่อในสัปดาห์หน้าค่ะขอบคุณข้อมูลจาก กระปุกหมู