เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
Featured ข่าววันนี้

จับเข่าคุย “ผู้กำกับหนังผีไทย” ผลงานร้อยล้าน แถมเข้าตาฮอลลีวูด ซื้อลิขสิทธิ์ไปรีเมก

หากพูดถึงเจ้าพ่อหนังผีระทึกขวัญของเมืองไทย หนึ่งในนั้นจะต้องมีชื่อของ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ที่สร้างชื่อจากการกำกับภาพยนตร์ระดับตำนานอย่าง “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” และ “แฝด” ที่ร่วมกำกับ กับ โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล ทั้งยังฝากฝีมือไว้ในภาพยนตร์หลอนยอดนิยมอย่าง “สี่แพร่ง” ตอน เที่ยวบิน ๒๒๔ “ห้าแพร่ง” ตอน รถมือสอง และ “Homestay โฮมสเตย์”

นอกจากนี้ ยังมีผลงานกำกับซีรีส์ทาง Netflix อย่าง “DELETE” อีกด้วย ถ้านับจนถึงปัจจุบัน ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ก้าวเข้าสู่โลกภาพยนตร์เต็มตัวมาได้เกือบ 20 ปีแล้ว และยังมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำหนังให้คนดู

จุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์

ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ จบการศึกษาจากสาขาวิชาการภาพยนตร์ วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต โดยก่อนสำเร็จการศึกษาเขาได้ทำโปรเจ็กต์ภาพยนตร์สั้นเรื่อง “หลวงตา” ความยาวประมาณ 8 นาที ซึ่งได้รับรางวัลจากมูลนิธิหนังไทยและรางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์สั้นต่างๆ และได้ไปฉายในหลายประเทศ ตรงนี้ทำให้ได้เปิดหูเปิดตาให้กว้างไกลขึ้น ได้เห็นการทำหนังในระดับนานาชาติว่าทำอย่างไร และเป็นจุดสำคัญที่นำมาต่อยอดให้ไปทำหนังใหญ่ต่อไป

ภายหลัง ภาคภูมิได้เริ่มงานด้านการกำกับ โดยได้ทำงานกำกับโฆษณากับทางบริษัท ฟีโนมิน่า หลังจากนั้นจึงได้เริ่มอาชีพผู้กำกับอย่างเต็มตัว โดยกำกับภาพยนตร์เรื่อง “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” ซึ่งสามารถทำรายได้ไปกว่า 100 ล้านบาท และได้สร้างกระแสหนังสยองขวัญของไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง และ “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” ยังเป็นผลงานที่สามารถขายลิขสิทธิ์ให้แก่ฮอลลีวูดนำไปรีเมกด้วย ทำให้ชื่อของภาคภูมิ วงศ์ภูมิ เป็นที่รู้จักบนเส้นทางสายผู้กำกับหนังของเมืองไทยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แรงบันดาลใจในการทำหนังผี แนวสยองขวัญ

สำหรับแรงบันดาลใจในการทำหนังแต่ละเรื่องของภาคภูมิ วงศ์ภูมิ ขึ้นอยู่กับช่วงจังหวะเวลาและโอกาส เช่น หนังเรื่อง “ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ” โจทย์ที่ได้รับมาคือให้ทำหนังอะไรก็ได้ และตอนนั้นแนวหนังผีสยองขวัญกำลังอยู่ในกระแส จึงเป็นที่มาของเรื่องดังกล่าว

ส่วนเรื่อง “แฝด” เกิดจากการที่เก็บสะสมเรื่องราวรอบตัวทุกวัน หรือไปอ่านเจออะไรแปลกใหม่น่าสนใจก็จะนำมาจดบันทึกไว้ และเมื่อถึงเวลาก็หยิบออกมาต่อยอดเพื่อเขียนบทและสร้างหนัง จึงไม่แปลกที่หนังแต่ละเรื่องจากฝีมือของผู้กำกับคนนี้จะกลายเป็นที่ยอมรับของคนดูเสมอ

ในส่วนของนิยามความเป็นหนังผีของเขาคือ นอกจากหนังจะเล่าเรื่องคนแล้ว หนังต้องสะท้อนอะไรบางอย่างของชีวิตมนุษย์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นมุมมองความคิด ด้านมืดในจิตใจของคนมันต้องสะท้อนออกมาในหนังผีได้ ไม่ใช่เพียงแค่หลอกหรือหลอนอย่างเดียว การหลอกเฉยๆ มันเป็นเทรนด์ที่คนดูเปลี่ยนไปเสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยเวลาเราดูหนังผีคือ เรารู้สึกจับใจความบางอย่างที่เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ได้

ทำให้หนังผีเรื่องนั้นมันคลาสสิค ให้ความรู้สึกกลัว รู้สึกว่ามันมีมุมสยองขวัญแม้เราไม่ได้ใช้เทคนิคอะไรที่แลบลิ้น ปลิ้นตา หรือแต่งหน้า เพราะความน่ากลัวมันอยู่ที่เรื่องคนมากกว่า ไม่รู้จะเรียกว่านี่คือนิยามหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่ผมทำหนังสยองขวัญจะมองหาเรื่องของคนเสมอ

จากผู้กำกับภาพยนตร์สู่ซีรีส์

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนจากกำกับหนังใหญ่ก็เริ่มมาทำแนวซีรีส์ ซึ่งแนวคิดแง่มุมอะไรบางอย่างในการทำซีรีส์ไม่เหมือนภาพยนตร์ มันมีเสน่ห์หรือวิธีการที่แตกต่างกัน เราต้องจับทางให้ได้ว่าการทำซีรีส์เป็นอย่างไร จุดจบแต่ละตอนต้องเป็นอย่างไร เนื้อเรื่องต้องเป็นแบบไหน ถึงจะสามารถเชิญชวนคนให้ดูตอนต่อไปได้

และเมื่อได้มาลองทำซีรีส์ก็รู้สึกว่าทำให้เราเติบโตขึ้น มุมมองของเราจากวันนั้นตั้งแต่เป็นนักศึกษาภาพยนตร์ สู่ผู้กำกับหนัง ผู้กำกับซีรีส์ ประสบการณ์และความสำเร็จบนเส้นทางนี้ก็เกิดมาจากงานที่เราทำ มันเป็นงานชนิดที่ว่าเราจะมานั่งคิดอย่างเดียวไม่ได้ เมื่อเราได้ลงมือทำก็ทำให้เกิดประสบการณ์ เราต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไปทุกวัน

เมื่อก่อนทำหนังแล้วเวิร์กแต่ยุคนี้เราก็ต้องมองบริบทอื่นประกอบด้วย เพื่อนำไปพัฒนางานในรูปแบบที่คนดูให้ความสนใจ โดยไม่ทิ้งแนวคอนเซ็ปต์การเล่าเรื่องหนังในรูปแบบของเรา

สำหรับความประทับใจของอาชีพนี้ คือการได้เป็นนักเล่าเรื่อง มีเรื่องมากมายที่จะเล่าให้คนหมู่มากฟังในเรื่องที่สนใจ ผ่านมุมมองทัศนคติที่นำเสนอ การเป็นผู้กำกับ ทำให้ได้เล่าเรื่องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เป็นอาชีพที่ได้ค้นหาและวิเคราะห์เรื่องของคน ได้รู้จิตใจคน ได้รู้จักสังคม บริบทของสังคม และได้รู้จักเรื่องต่างๆ ก่อนจะกลั่นกรองเรื่องราวออกมาเล่าให้คนได้ดู ได้ฟัง รู้สึกว่านี่แหละมันคือเสน่ห์ของการเป็นผู้กำกับ

ทุกครั้งที่ไฟปิดมืด หนังเรื่องใหม่ฉายและไฟเปิดขึ้นมา เราไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น คนจะชอบหรือไม่ชอบหนังเรื่องนั้น ความตื่นเต้นมันยังอยู่ในห้วงความรู้สึกเสมอ ทุกครั้งที่หนังของเราฉายรู้สึกถึงอะดรีนาลินที่หลั่งออกมา และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร หนังจะสื่อสารสิ่งที่จะนำเสนอไปสู่ทุกคนได้หรือไม่ แต่เรารู้สึกได้ว่ามันคือความสุขในการได้ทำหนัง

Related Posts

จาก ‘โลคอล’ สู่ ‘โกลบอล’ ZENFRY เฟรนช์ฟรายด์ถั่วเขียวเจ้าแรกของโลก เริ่มต้นจาก SMEs บ้านๆ ขายออนไลน์ สู่แบรนด์ส่งออก