หลายคนในแวดวงธุรกิจอาหารเริ่มออกมาพูดถึงเหตุการณ์เศรษฐกิจที่ถดถอยลง ส่งผลกระทบถึงหลายๆ ร้าน ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหารสตรีตฟู้ด คาเฟ่ หรือแม้กระทั่งร้านอาหารมิชลินต่างก็เจอกับยอดขายที่ลดลงเกือบ 50% เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ
สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าปีนี้คำว่า “เผาจริง” ไม่ได้เป็นแค่คำเปรียบเปรย แต่กำลังจะกลายเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นจริง ที่จะส่งผลกระทบทุกหย่อมหญ้า
ผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่องของยอดขายที่ลดลงเท่านั้น แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่งคือ ‘พฤติกรรม’ ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากเดิม ที่พร้อมจ่ายเพื่อรับประสบการณ์ที่ดีในการรับประทานอาหาร แต่ตอนนี้หลายคนเริ่มหันมาจับจ่ายแบบระมัดระวังมากขึ้น
เช่น การเลือกทำกับข้าวกินเองที่บ้าน หรือเลือกใช้บริการสั่งอาหารผ่านดีลิเวอรี แทนการไปนั่งกินที่ร้าน
โดยเสียงสะท้อนจากหลายๆ ผู้ประกอบการ ณ ตอนนี้ มักจะแนะนำว่า “ถ้ามีเงินก้อนตอนนี้ อย่าเพิ่งลงทุนอะไรหนักๆ เก็บเงินสดไว้ก่อนจะดีกว่า”
นั่นก็เป็นเพราะว่าในช่วงนี้สินค้าหรือวัตถุดิบก็ได้มีการปรับขึ้นราคากันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีในเรื่องของภาษีจากสหรัฐฯ ที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ และเมื่อต้นทุนสูงขึ้น แต่กำลังซื้อกลับลดลง ทำให้เป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับผู้ประกอบการ
จากผลกระทบต่างๆ ที่ผู้ประกอบการหลายๆ รุ่น ออกมาชี้แนะแนวทาง ทำให้มองเห็นว่า ปีนี้อาจจะไม่ใช่ปีทองของการขยายกิจการ แต่เป็นปีแห่งการเอาตัวรอด เพราะขนาดเชฟชื่อดังระดับมิชลิน ยังออกมาพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจในปีนี้ที่เรียกได้ว่าเผาจริง
โดย เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เจ้าของร้านอาหารมิชลิน อย่าง ‘Le Du (ฤดู)’ และร้านในเครืออื่นๆ รวมทั้งสิ้น 8 แบรนด์ ได้แก่ Nusara – นุสรา, หลานยาย Nusara, Baan Restaurant “Thai Family Recipe”, Mayrai – เมรัย, สมุทร, ThepNakorn และร้านนิราศ
ได้มีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
“ช่วงนี้คือแบบ เงียบแบบตกใจ หลายๆ ร้านในเครือ คือมียอดลดลง 50% เทียบกับปีก่อน น่ากลัวมากๆ นี่สินะปีเผาจริง เพื่อนๆ ทำร้านเป็นยังไงกันบ้างครับ สู้ๆ ครับ เราต้องรอด”
หลายคอมเมนต์ต่างแสดงความคิดเห็นในหลายๆ มุม อาทิ
“ขนาดแบรนด์เก่าแก่ยังต้องประคองไว้ เพราะถ้าเรายิ่งหายไป กลุ่มทุนเทาจะยิ่งแพร่กระจายกันเต็มไปหมด”
“ยอดตกลงเยอะเลย คนประหยัดกันมากขึ้น จ่ายน้อยลง ทานแต่จานหลัก ไม่ทานอาหารว่าง น้ำดื่มทานแค่น้ำเปล่า งาน Catering ก็น้อยลงเยอะ”