การเงิน และการตลาด
รู้จัก “สแมชเบอร์เกอร์” ความอร่อยที่ร้านดังเลือกใช้ เคล็ดลับอยู่ที่การ “สแมช” สแมชเบอร์เกอร์ กลายเป็นเมนูยอดฮิตที่ร้านอาหารชื่อดังหลายแห่งเลือกนำเสนอ ด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดนใจคนรักเบอร์เกอร์ ทำให้สแมชเบอร์เกอร์ได้รับความนิยมในวงกว้างอย่างรวดเร็ว แต่ทุกคนรู้ไหมว่า สแมชเบอร์เกอร์ คือการทำเบอร์เกอร์ชนิดหนึ่งที่ใช้วิธีการทำอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสร้างความโดดเด่นให้กับชิ้นเบอ์เกอร์นั้นๆ ได้อย่างดี โดยเคล็ดลับที่จะทำให้เนื้อในของเบอร์เกอร์ฉุดความสนใจไปยังลูกค้าได้นั้น เคล็ดลับอยู่ที่การ “สแมช” โดยวิธีการสแมชนั้น จะใช้เนื้อบดคุณภาพดีนำไปกดบนกระทะร้อนๆ ให้แบนและมีขอบเกรียมกรอบ จุดเด่นของสแมชเบอร์เกอร์คือความกรอบนอกนุ่มในของเนื้อที่เกิดจากการสัมผัสความร้อนโดยตรง ทำให้ได้รสชาติเข้มข้น เนื้อฉ่ำ และมีกลิ่นหอม จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมร้านดังถึงเลือกใช้สแมชเบอร์เกอร์ ด้วยรสชาติที่โดดเด่น ผสานกับความกรอบนอกนุ่มในของเนื้อที่แตกต่างจากเบอร์เกอร์ทั่วไป ทำให้ลูกค้าได้สัมผัสกับรสชาติและเทกซ์เจอร์ที่น่าสนใจ มีความรวดเร็วในการทำใช้เวลาทำน้อยกว่าเบอร์เกอร์แบบอื่นๆ เหมาะสำหรับร้านอาหารที่ต้องการเส
เคล็ด (ไม่) ลับ! แชร์ทริก ‘ผ่อนบ้าน’ ฉบับคู่รัก วางแผนอย่างไร ให้ผ่อนหมดไวไปด้วยกัน เมื่อความรักสุกงอม การวางแผนซื้อเรือนหอร่วมกันถือเป็นก้าวสำคัญของชีวิตคู่ การมีบ้านเป็นของตัวเอง นอกจากจะสร้างความมั่นคงแล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์การเริ่มต้นสร้างครอบครัวอีกด้วย สอดคล้องกับข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) พบว่า ผู้บริโภคเกือบ 1 ใน 3 (31%) ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับพ่อแม่และบุตรหลานเมื่อขยายครอบครัว รวมถึงการวางแผนระยะยาวสำหรับผู้ที่มีแผนแต่งงานสร้างครอบครัว ลองมาดูเคล็ด (ไม่) ลับ ช่วยให้คู่รักวางแผนผ่อนบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระดอกเบี้ยให้หมดไว สานฝันให้คู่รักมีเรือนหอในฝันได้อย่างมั่นใจ 1. ตกลงหน้าที่ผ่อนบ้านให้ชัดเจน คู่รักทั้ง 2 ฝ่ายควรปรึกษาและตกลงกันให้ชัดเจน เกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบในการผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน เช่น ใครจะเป็นผู้ยื่นกู้ซื้อบ้านหรือจะกู้ร่วมกัน ใครจะรับหน้าที่ผ่อนบ้านเป็นหลัก แบ่งสัดส่วนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนกล
โอกาสและการเติบโตของตลาด ‘Luxury Tourism’ ของไทย จากกระแส “White Lotus” เรียกได้ว่าเป็นการจุดกระแสการท่องเที่ยวที่ทั่วโลกจับตามอง สำหรับซีรีส์ดัง The White Lotus ซีซัน 3 ที่เลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำหลัก โดยเน้นไปที่เกาะสมุยเป็นพิเศษ ทำเอาหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ซีรีส์เรื่องนี้จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวระดับหรูของไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง และคาดหวังว่าจะช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้ชมทั่วโลกและสร้างโอกาสสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับหรูของไทย หรือที่เรียกว่า “ไฮเอนด์ ทัวริซึม” ด้านคุณชมพู่ มรุศโชติ ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประจำนิวยอร์ก ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ถึงการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวว่า “เธอเชื่อว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 20% ในฮาวาย และซิซิลี จากซีรีส์ซีซัน 1 และ 2 และคาดว่าความสำเร็จนั้นจะเกิดขึ้นกับไทยเช่นกัน” ถึงแม้คุณชมพู่จะคาดหวังไว้ไม่มากนัก แต่การเพิ่มขึ้น 20% ที่เธอคาดหวังไว้ก็เพียงพอที่จะทำให้ประเทศไทยกลับมามียอดนักท่องเที่ยวเท่ากับก่อนเกิดโรคระบาดได้ “The White Lotus” ปรากฏการณ์สะเทือนโลก กระตุ้นการท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์
มหากาพย์วงการนางงาม! จับตา มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ยุค ‘บอสณวัฒน์’ ทุ่ม 180 ล้าน คว้าลิขสิทธิ์ 5 ปี ทำสงครามนางงามสะเทือน เรียกได้ว่าเป็นกระแสร้อนแรงในวงการนางงามอย่างมาก หลังจากที่ ‘ณวัฒน์ อิสรไกรศีล’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้อำนวยการกองประกวด บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ประกาศคว้าลิขสิทธิ์การจัดการประกวด Miss Universe Thailand (MUT) อย่างเป็นทางการต่อจาก TPN โดยทุ่มเงิน 180 ล้านบาท ถือลิขสิทธิ์ เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ 2025-2029 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการนางไทย และเราอาจได้เห็นการนำ DNA ของทั้ง 2 เวทีดัง อย่าง MGI มาผสานกับ MUT ในการประกวดนับจากนี้ ที่จะมีความสนุก ความแซ่บ และเป็นที่จับตามองมากขึ้น สำหรับ Miss Universe (มิสยูนิเวิร์ส) หรือ MU จัดการประกวดมาแล้ว 73 ครั้ง เวทีนี้ถูกเปลี่ยนมือมาแล้วหลายครั้ง หนึ่งในนั้น โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน เคยเข้าซื้อกิจการและเข้าบริหารองค์กรนี้ เมื่อปี 1996 ส่วนในปี 2022 มิสยูนิเวิร์สได้ตกมาอยู่ภายใต้การบริหารงานของนักธุรกิจไทย อย่าง แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ โดย JKN METAVERSE INC. ซ
ให้ความสำคัญกับอิสรภาพทางการเงิน ใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ มากกว่ามีภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูก รู้จัก DINK เทรนด์ใหม่ของชีวิตคู่ยุคนี้ ในยุคที่ค่านิยมเกี่ยวกับครอบครัวเปลี่ยนไป คู่รักหลายคู่เริ่มให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากกว่าการมีลูก ทำให้แนวคิด DINK หรือ Dual Income, No Kids คู่แต่งงานมีรายได้ทั้งคู่ และไม่มีลูก กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น DINK หมายถึง คู่รักที่แต่งงานหรือใช้ชีวิตร่วมกัน โดยที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีรายได้เป็นของตัวเอง และไม่มีลูก ไม่ว่าจะเป็นคู่ชาย-หญิง และ LGBTQ+ ก็สามารถเป็น DINK ได้ทั้งนั้น กลุ่มคนเหล่านี้มักให้ความสำคัญกับอิสรภาพทางการเงิน การใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ และการลงทุนเพื่ออนาคต มากกว่าการมีภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูก เช่น ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูต่างๆ จากผลสำรวจของสถาบัน Brookings พบว่า ครอบครัวที่มีรายได้ปานกลางโดยเฉลี่ยจะต้องจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูบุตรประมาณ 200,000-300,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 6-10 ล้านบาท) จนอายุครบ 17 ปี ทำไม DINK ถึงเป็นคู่รักกระเป๋าหนัก? 1. รายได้สองทาง ไม่มีภาระลูก : ด้วยความที่ทั้งคู่ทำงานและสร้างรายได้ของตั
บอกมาปีนี้ อยากได้กี่ดอก! วาเลนไทน์ บอกรักผ่านกุหลาบ จำนวนดอก มีความหมายว่าอะไร? เข้าสู่เทศกาลแห่งความรักอย่าง วันวาเลนไทน์ แล้ว หลายๆ คน เริ่มมองหาของขวัญ เพื่อมอบเป็นของแทนใจให้คู่รักหรือคนที่แอบชอบแอบปลื้ม โดยหนึ่งในของที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอดและถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักเลยก็คือ ดอกกุหลาบสีแดง แล้วรู้ไหมว่า จำนวนดอกกุหลาบ ที่ให้กัน แต่ละจำนวน มีความหมายแฝงด้วยนะ เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ ได้รวบรวมความหมายของดอกกุหลาบแต่ละจำนวนมาให้แล้ว ดังนี้ ดอกกุหลาบ 1 ดอก แปลว่า รักแรกพบ ดอกกุหลาบ 2 ดอก แปลว่า ความรู้สึกเราไม่ต่างกัน ดอกกุหลาบ 3 ดอก แปลว่า ฉันรักคุณ ดอกกุหลาบ 5 ดอก แปลว่า ฉันรักคุณมากๆ ดอกกุหลาบ 6 ดอก แปลว่า ฉันรักและคิดถึงคุณมากๆ ดอกกุหลาบ 7 ดอก แปลว่า ฉันหลงเสน่ห์คุณเข้าให้แล้ว ดอกกุหลาบ 8 ดอก แปลว่า ฉันอยากชดเชยวันเวลาที่ขาดหายไปให้กับคุณ ดอกกุหลาบ 9 ดอก แปลว่า รักของเราจะอยู่นานตราบชั่วชีวิต ดอกกุหลาบ 10 ดอก แปลว่า คุณเป็นคนที่น่ารักที่สุด ดอกกุหลาบ 11 ดอก แปลว่า คุณคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต ดอกกุหลาบ 12 ดอก แปลว่า ขอให้เราคู่กันจวบจนนิรันดร์ ดอกกุหลาบ 13 ดอก แปลว่า เพื่อนก
“Lonely Economy” ธุรกิจเพื่อคนโสด ตอบโจทย์คนเหงา ที่ชอบอยู่คนเดียว ในยุคนี้การเป็นโสดไม่ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะมีจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่คนเดียวหรือเลือกใช้ชีวิตโสดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศจีนมีคนโสดอยู่ประมาณ 260 ล้านคน และกลุ่มคนเหล่านี้เลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวถึง 92 ล้านคน (มากกว่าประชากรไทยทั้งประเทศอีก) และไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง เมื่อมีคนโสดเป็นจำนวนมาก จึงเกิดแนวคิดและรูปแบบของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป อันเกิดจากค่านิยมของคนโสด เพื่อให้ตอบโจทย์กับตัวเองมากที่สุด และสิ่งนั้นเรียกว่า Lonely Economy Lonely Economy คืออะไร เศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่เกิดจากค่านิยมและแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของคนโสด จนส่งผลต่อไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ทำให้สังคมและเศรษฐกิจต้องปรับตัวให้ตอบโจทย์กับความต้องการและการบริโภคของคนโสด เพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ผู้คนในสังคมได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น มีรายได้ทางการเงินมั่นคง และสบายใจที่จะใช้ชีวิตตัวคนเดียว เทรนด์เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนที่มีไลฟ์สไตล์แบบ “คนโสด” ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นในหลายประเทศ การที่คนโสดหลายคนชอบอยู่คน
รู้จัก Fauxductivity แกล้งทำงานหนัก พฤติกรรมที่เป็นแบบไม่รู้ตัว เพราะอยากให้คนอื่นมองว่าขยัน เมื่อการทำตัว “ยุ่ง” ไม่ได้แปลว่าทำงานมีประสิทธิภาพ ทุกคนคงเคยเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้ ที่เพื่อนร่วมงานดูยุ่งตลอดเวลา นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ทำงานไม่หยุด ยกโทรศัพท์เดินคุยด้วยสีหน้าตึงเครียด หรือแม้กระทั่งขยับเมาส์อยู่ตลอดเวลาราวกับไม่มีเวลาว่าง แต่เมื่อดูผลงานจริงๆ แล้วกลับพบว่า ไม่ได้มีอะไรคืบหน้า พฤติกรรมนี้เรียกว่า “Fauxductivity” หรือการแสร้งทำงานให้ดูหนักหน่วง แต่แท้จริงแล้วไม่มีประสิทธิภาพ Fauxductivity คืออะไร? Fauxductivity (โฟ-ดัค-ติ-วิ-ตี้) มาจากคำว่า Faux (มาจากคำว่า Fake ที่แปลว่า ปลอม) + Productivity (ประสิทธิภาพ) หมายถึง การแสร้งทำเป็นว่ากำลังทำงานหนัก แต่ไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ดี หลายคนอาจไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ แต่ด้วยวัฒนธรรมองค์กรความกดดันจากหัวหน้า หรือแม้แต่ความต้องการที่อยากให้คนอื่นมองว่าตัวเองขยัน ทำให้พฤติกรรม Fauxductivity นี้แพร่ระบาดโดยไม่รู้ตัว สาเหตุหลักของพฤติกรรมนี้ เกิดจากหลายปัจจัย อาทิ สภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ (Toxic workplace) : อาจเกิดจากระบบงานที่มีปัญห
อดีตแอร์โฮสเตส เผยจุดเปลี่ยนชีวิต ทิ้งเงินหลักแสน หันมาต่อยอดร้านอาหารข้างทาง สร้างกำไรสุดปัง อาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอาจจะเป็นความฝันของใครหลายคน ดังเช่นเรื่องราวของ เชอร์รี่ แทน ที่เธอพยายามสมัครเข้าทำงานตำแหน่งนี้ แต่กลับถูกปฏิเสธถึง 9 ครั้ง แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ จนได้ทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ หลังจากทำงานมาเป็นเวลา 6 ปี เธอก็ตัดสินใจลาออกจากงานในฝันของเธอ มาขายอาหารแผงลอย จุดเริ่มต้น ตอนที่ เชอร์รี่ แทน อายุได้ 19 ปี เธอได้สมัครเข้าทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ Singapore Airlines แต่แล้วก็ถูกปฏิเสธ เธอจึงเปลี่ยนเส้นทางอาชีพชั่วคราว และไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี สาขาธุรกิจการบริการที่ Singapore Institute of Technology แต่ความฝันที่อยากจะเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็ยังไม่เคยหายไป เธอสมัครเข้าทำงานต่อ หลังจากสำเร็จการศึกษา เธอพยายามมาจนถึงครั้งที่ 10 ก็ได้งาน และใช้เวลา 6 ปีในการบินไปทั่วโลก สำรวจประเทศใหม่ๆ ทุกๆ 2 วัน จนปัจจุบัน เธออายุ 29 ปี เธอกล่าวว่า “การเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน” และเ
เปิดประวัติ “นิสชิน” บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเจ้าแรกของโลก เคยสงสัยกันไหมว่าใครที่เป็นผู้คิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นคนแรก อีกทั้งยังทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้รับความนิยมไปทั่วโลก วันนี้ เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ จะมาบอกเล่าประวัติผู้ที่คิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นคนแรกกัน จุดเริ่มต้น “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” โมโมะฟูกุ อันโด ผู้ก่อตั้งบริษัท NISSIN FOODS เกิดเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1910 ซึ่งตรงกับปีที่ดาวหางฮัลเลย์โคจรเข้าใกล้โลก อันโดสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังแบเบาะ เขาจึงถูกเลี้ยงดูโดยคุณปู่ซึ่งเปิดร้านขายส่งผ้าในเมือง ทำให้เขาได้เห็นบรรยากาศการค้าขายอย่างใกล้ชิด ในวัย 22 ปี เขาได้ก่อตั้งบริษัทที่จำหน่ายสิ่งทอ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้เขาได้เข้าไปร่วมงานกับกิจการอื่นๆ อีกมากมาย แต่ทว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างมาก ถนนหนทางเต็มไปด้วยผู้คนที่หิวโหย และมีคนจำนวนมากล้มตายเพราะขาดสารอาหาร วันหนึ่งขณะที่เขาเดินผ่านตลาดใกล้สถานีโอซากะ บังเอิญเห็นผู้คนต่อแถวยาวท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น เพื่อรอซื้อราเมนร้อนๆ แสดงให้เห็นว่าคนญี่ปุ่นชอบราเมนมากแค่