มะเขือเทศเป็นพืชผักสวนครัวที่ทั้งปลูกง่าย ให้ผลผลิตไว และใช้ประกอบอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะผัด แกง ต้ม หรือกินสดก็อร่อย ที่สำคัญยังมีสารไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย
วันนี้เทคโนโลยีชาวบ้านจะขอพาทุกคนไปรู้จักกับ มะเขือเทศ 6 สายพันธุ์ยอดนิยม ที่น่าปลูกไว้ติดบ้าน รับรองว่าได้ทั้งความสวยงาม ผลผลิตดี และประโยชน์มากมายแน่นอน

1. มะเขือเทศสีดา เป็นสายพันธุ์ที่คนไทยคุ้นเคยมากที่สุด ลักษณะผลกลม ขนาดเล็กถึงกลาง สีแดงจัด เนื้อแน่น รสเปรี้ยวอมหวาน เหมาะสำหรับการนำไปปรุงอาหาร เช่น ผัด ต้ม หรือทำน้ำพริก
การปลูก
เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ดูแลรักษาง่าย ชอบแดด ปลูกได้ดีในหน้าหนาว ช่วงเดือน พ.ย. – ธ.ค. ให้ผลผลิตเร็ว ทนร้อน ทนโรคพอสมควร
เริ่มจากเพาะกล้าในกระบะเพาะ เมื่อกล้าอายุครบ 1 เดือน ให้ย้ายลงแปลงปลูกโดยปลูกหลุมละ 1 ต้น ระยะห่างระหว่างต้นและแถวประมาณ 50×60 ซม. เมื่ออายุ 20–25 วัน ควรทำค้างเพื่อให้ผลลอยพ้นจากพื้นดิน
ระยะเวลาเก็บเกี่ยว : ประมาณ 115-120 วัน เหมาะสำหรับปลูกกลางแจ้ง แต่หากมีพื้นที่จำกัด สามารถปลูกในกระถางได้ โดยใช้กระถางละ 1 ต้น และต้องจัดวางให้ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ

ขอบคุณภาพจาก : รวมเมล็ดพันธุ์
2. มะเขือเทศราชินี เป็นสายพันธุ์ที่นิยมปลูกมากในบ้านเรา เพราะผลเล็กน่ารัก รสหวาน หอม กินสดอร่อย ทำสลัดหรือของว่างได้แบบฟินๆ
การปลูก
ใช้เมล็ดเพาะลงถาดเพาะหรือกระถางเล็ก รอจนต้นสูงประมาณ 10 ซม. ค่อยย้ายลงกระถางใหญ่หรือแปลงดิน ใช้ดินร่วนผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ควรมีค้างหรือไม้พยุงให้ต้นเลื้อย
การดูแล
รดน้ำเช้า-เย็นให้ดินชื้นแต่ไม่แฉะ ให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกทุก 7-10 วัน ระวังเพลี้ยอ่อนและหนอนเจาะผล

ขอบคุณภาพจาก : พีพี เมล็ดพันธุ์
3. มะเขือเทศองุ่น หน้าตาคล้ายมะเขือเทศราชินี แต่ผลจะยาวรีคล้ายลูกองุ่น รสหวานเข้มกว่าเล็กน้อย เนื้อไม่ฉ่ำมีน้ำน้อย จะะออกผลเป็นพวง เปลือกแข็งกว่าเล็กน้อย เก็บรักษาได้นาน เหมาะสำหรับใส่สลัด ปิ้งย่าง หรือกินสด
การปลูก
มะเขือเทศองุ่นเป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด ต้องการแสงประมาณ 6–8 ชั่วโมงต่อวัน จึงควรปลูกในที่กลางแจ้ง เช่น ระเบียงบ้าน หน้าต่าง หรือสวนหลังบ้าน หากมีพื้นที่จำกัด สามารถปลูกในกระถางหรือกระบะปลูกได้ โดยใช้กระถางขนาดกลางถึงใหญ่ (ความลึกไม่น้อยกว่า 30 ซม.)
อุณหภูมิที่เหมาะสม คือช่วงระหว่าง 20–30 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในฤดูหนาวหรือช่วงต้นร้อนจะให้ผลผลิตดีที่สุด
เก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 70 – 90 วัน ซึ่งระยะเริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยวนั้นจะใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน
มะเขือเทศองุ่นเป็นหนึ่งในมะเขือเทศที่ปลูกง่าย ได้ผลผลิตเร็ว เหมาะกับมือใหม่หรือคนที่มีพื้นที่จำกัด ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย จะกินสดหรือปรุงอาหารก็อร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง

4. มะเขือเทศเนื้อ สายพันธุ์ผลใหญ่ หนักแน่น มีเนื้อเยอะ น้ำเยอะ เมล็ดน้อย รสชาตินุ่ม หอมอ่อนๆ เหมาะสำหรับนำไปทำซอส สเต็ก หรือเบอร์เกอร์
ราชาแห่งมะเขือเทศสายพันธุ์ผลใหญ่ ด้วยขนาดที่ใหญ่ หนัก เนื้อแน่นฉ่ำน้ำ เมล็ดน้อย และรสชาติหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมเฉพาะตัว จึงเหมาะกับการทำเบอร์เกอร์ สลัด แซนด์วิช หรือซอสต่างๆ ได้ดีเยี่ยม
การปลูก
มะเขือเทศเนื้อเป็นพืชที่ต้องการแดดจัดเต็มวัน หากมีพื้นที่ที่แดดส่องน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน ต้นจะไม่ออกดอกหรือติดผลได้ยาก
การรดน้ำ
- รดเช้าวันละ 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้งในวันที่อากาศร้อน
- หลีกเลี่ยงการรดตอนเย็นหรือกลางคืนเพราะความชื้นสะสมอาจทำให้เกิดโรคเชื้อรา
การเก็บเกี่ยว
- ใช้กรรไกรตัดพร้อมก้าน อย่าดึงเพื่อป้องกันรากสะเทือนดส่องน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน ต้นจะไม่ออกดอกหรือติดผลได้ยาก
- มะเขือเทศเนื้อจะเริ่มให้ผลผลิตหลังปลูกประมาณ 75–90 วัน เก็บเมื่อผลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม หรือแดงสดแต่ยังแข็ง

ขอบคุณภาพจาก : freshket
5. มะเขือเทศท้อ เรียกอีกชื่อว่า “มะเขือเทศพันธุ์ซอส” เพราะผลเป็นรูปไข่ เนื้อแน่น น้ำไม่เยอะ รสเปรี้ยวน้อย ทำซอสหรือซุปได้เนียนมาก เป็นที่นิยมมากในอิตาลี
มะเขือเทศท้อมีข้อดีที่โดดเด่นคือ “เนื้อเยอะ เมล็ดน้อย เปลือกไม่บางจนแตกง่าย” จึงเหมาะมากสำหรับการปรุงอาหาร เช่น ทำซอสมะเขือเทศ ต้ม ผัด อบ หรือแม้แต่กินสดก็อร่อย

6. มะเขือเทศโซลาริโน่ พันธุ์ใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนปลูกเพื่อสุขภาพ ผลทรงรีเล็กๆ สีแดงสด รสชาติหวานจัด เปลือกบาง เป็นลูกผสมที่มีความหวานธรรมชาติสูง
สายพันธุ์เนเธอร์แลนด์ เด่นที่รสชาติหวานอมเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์ เหมาะกับการกินผลสด ทรงผลยาว สีแดงสวย เนื้อแน่นกรอบ ไม่มีกลิ่นฉุน กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรักสุขภาพและกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง เหมาะสำหรับปลูกเป็นพืชสร้างรายได้เสริม ปลูกไม่ต้องเยอะสามารถทำรายได้ต่อสัปดาห์ไม่น้อย
จุดเด่นของมะเขือเทศสายพันธุ์นี้ คือ เป็นมะเขือเทศสายพันธุ์ที่มีเมล็ดน้อย กินง่ายคล้ายกับองุ่นไร้เมล็ด เนื้อกรอบ มีกลิ่นหอมเฉพาะ ไม่ฉุน คนที่รักสุขภาพแต่ไม่ชอบกินมะเขือเทศก็สามารถกินได้ แถมขายได้ราคาดีกิโลกรัมไม่ต่ำกว่า 200-300 บาท
การเพาะเมล็ด ก่อนย้ายลงถาดเพาะจะต้องนำเมล็ดไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปบ่มไว้ในผ้า หรือบ่มในกระดาษทิชชู จนรากงอกได้ความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร จึงค่อยย้ายเมล็ดลงไปเพาะในถาดหลุม
โดยใช้เวลาในการเพาะเมล็ดประมาณ 12-14 วัน หรือให้ดูที่ใบจริงเป็นหลัก เพราะหากเป็นช่วงที่สภาพอากาศเย็นมากๆ การเจริญเติบโตจะช้า การเพาะเมล็ดก็ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 2-3 วัน เพื่อให้มีใบจริง 2 ใบ ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ จึงค่อยย้ายปลูกลงถุงเพาะ เพื่อให้การเจริญเติบโตของพืชเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ลำต้นแข็งแรง โตเร็ว
เทคนิคการปลูกมะเขือเทศให้ได้ผลผลิตดี
สภาพอากาศที่เหมาะสม
- ฤดูหนาว เป็นฤดูที่เหมาะสมที่สุดในการเจริญเติบโตของมะเขือเทศ อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 18-28 องศาเซลเซียส
- ความชื้นของอากาศและอุณหภูมิสูง จะทำให้ได้ผลผลิตและคุณภาพลดลง และเกิดโรคง่าย
- มะเขือเทศจะให้ผลผลิตต่ำในฤดูฝน แต่ถือเป็นช่วงที่มีราคาสูง
การเตรียมดิน
- ควรเป็นดินร่วน เนื่องจากจะมีอินทรียวัตถุสูง และมีการระบายน้ำได้ดี
- ค่าความเป็นกรดด่างของดิน 4.5-6.8 หากดินเป็นกรดใช้ปูนขาวปรับสภาพดิน
- ไม่ควรปลูกซ้ำที่เดิม หรือในพื้นที่ปลูกพืชในวงศ์มะเขือ เช่น พริก มะเขือ เป็นต้น เพราะมีโรคหรือแมลงศัตรูพืชเหมือนกัน เช่น โรคเหี่ยวซึ่งมีเชื้อสาเหตุสะสมอยู่ในดิน อาจทำให้การปลูกมะเขือเทศเกิดปัญหาการผลิตได้ง่าย
การเพาะต้นกล้า การปลูกมะเขือเทศไม่นิยมหยอดเมล็ดลงหลุมปลูกโดยตรง เนื่องจากเมล็ดมีราคาแพงและในระยะแรกต้นมีการเจริญเติบโตช้า จึงนิยมใช้วิธีเตรียมต้นกล้าแล้วย้ายไปปลูก เมื่อต้นกล้ามีอายุ 20-25 วัน หรือมีใบจริง 2-3 ใบ
การเพาะกล้า
- การบ่มเมล็ด
นำเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศ แช่ในน้ำสะอาด 1 ลิตร โดยให้เมล็ดทุกส่วนถูกน้ำ แช่เมล็ดนาน 20 นาที นำเมล็ด (ไม่ควรวางหนาแน่นเกินไป) มาวางในกระดาษเพาะกล้าหรือผ้าขาวบางชุบน้ำมาดๆ แล้วจึงห่อเมล็ดห่อกระดาษเพาะเมล็ดอีกครั้งด้วยถุงพลาสติกใสหรือถุงใส่แกง เก็บในที่อุณหภูมิ 28- 30 องศาเซลเซียส โดยใส่ในภาชนะที่มิดชิด เช่น กระติกน้ำเพื่อรักษาอุณหภูมิ นานประมาณ 24 ชั่วโมง
2. การเพาะกล้า โดยใช้ถาดหลุม / ถุงเพาะ มีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้ง่ายในการผลิตกล้ามะเขือเทศ และต้นกล้าเสียหายน้อยเมื่อย้ายปลูก
- วัสดุปลูกที่นิยม ได้แก่ วัสดุส้าเร็จรูปสำหรับการเพาะกล้า เช่น พีท ดินผสม เป็นต้น
- หยอดเมล็ดจำนวน 1 เมล็ด ลงบนวัสดุปลูกที่ใส่ในถาดหลุม / ถุงเพาะ แล้วกดเบาๆ ให้เมล็ดจมลงในวัสดุปลูก หรือกลบด้วยวัสดุปลูกบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม
3. การย้ายกล้า ควรย้ายกล้าเมื่อมีใบ 4-5 ใบ หรืออายุไม่เกิน 25-30 วัน หลังจากหยอดเมล็ด
การปักค้าง
การปักค้างต้องทำก่อนระยะออกดอก โดยเฉพาะในพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตแบบทอดเลื้อย ใช้ไม้ปักเป็นค้างให้ต้นก่อนคล้องเชือกกับลำต้นแล้วไขว้ด้านปลายและผูกกับค้างด้วยเงื่อนกระตุก หรือปักไม้และทำคานยาวด้านบน ก่อนนำเชือกไปผูกที่กลางต้นแล้วพันขึ้นไปทางด้านยอดและผูกปลายเชือกกับคานด้านบน
การตัดแต่งมะเขือเทศ
การตัดแต่งกิ่งทำในระยะการเจริญเติบโตทางลำต้นก่อนออกดอกและช่วงติดผล โดยปลิดใบและกิ่งแขนงให้ต้นโปร่ง ไม่เป็นที่สะสมของโรคและแมลงศัตรูพืช หากตัดแต่งมากเกินไปแสงแดดจัดจะทำให้สีผลซีด และมีความหวานลดลง
การให้น้ำ
มะเขือเทศต้องการน้ำสม่ำเสมอ ตั้งแต่เริ่มปลูกไปจนถึงผลเริ่มแก่ ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังการติดผล ควรลดปริมาณน้ำที่ให้ลงเพื่อป้องกันผลแตก หากมะเขือเทศขาดน้ำ และให้น้ำอย่างกระทันหันจะทำให้ผลแตกได้เช่นกัน สำหรับมะเขือเทศกลุ่มเชอร์รี่ควรงดน้ำก่อนเก็บเกี่ยว จะช่วยเพิ่มความหวานและกลิ่นหอม
การเก็บเกี่ยว
โดยทั่วไปสามารถเริ่มเก็บเกี่ยวหลังย้ายปลูก 75-85 วัน จะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ถ้าอุณหภูมิสูงจะสุกเร็ว ถ้าอุณหภูมิต่ำจะสุกช้า ทำการเก็บผลที่มีสีส้มหรือแดง โดยใช้กรรไกรตัดขั้วให้สั้น หรือเก็บเกี่ยวเป็นช่อโดยให้มีผลมะเขือเทศช่อละ 2-4 ผล แต่มีกลีบเลี้ยงติด