เว็บไซต์นี้ใช้คุ้กกี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขี้น อ่านเพิ่มเติมคลิก (Privacy Policy) และ (Cookies Policy)
เทคนิคเกษตร

รวมสายพันธุ์ ‘มะเขือเทศ’ น่าปลูกที่ควรมีติดบ้าน

มะเขือเทศเป็นพืชผักสวนครัวที่ทั้งปลูกง่าย ให้ผลผลิตไว และใช้ประกอบอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะผัด แกง ต้ม หรือกินสดก็อร่อย ที่สำคัญยังมีสารไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย

วันนี้เทคโนโลยีชาวบ้านจะขอพาทุกคนไปรู้จักกับ มะเขือเทศ 6 สายพันธุ์ยอดนิยม ที่น่าปลูกไว้ติดบ้าน รับรองว่าได้ทั้งความสวยงาม ผลผลิตดี และประโยชน์มากมายแน่นอน

การปลูก

เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายระบายน้ำดี ดูแลรักษาง่าย ชอบแดด ปลูกได้ดีในหน้าหนาว ช่วงเดือน พ.ย. – ธ.ค. ให้ผลผลิตเร็ว ทนร้อน ทนโรคพอสมควร

เริ่มจากเพาะกล้าในกระบะเพาะ เมื่อกล้าอายุครบ 1 เดือน ให้ย้ายลงแปลงปลูกโดยปลูกหลุมละ 1 ต้น ระยะห่างระหว่างต้นและแถวประมาณ 50×60 ซม. เมื่ออายุ 20–25 วัน ควรทำค้างเพื่อให้ผลลอยพ้นจากพื้นดิน

ระยะเวลาเก็บเกี่ยว : ประมาณ 115-120 วัน เหมาะสำหรับปลูกกลางแจ้ง แต่หากมีพื้นที่จำกัด สามารถปลูกในกระถางได้ โดยใช้กระถางละ 1 ต้น และต้องจัดวางให้ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ

ขอบคุณภาพจาก : รวมเมล็ดพันธุ์

การปลูก

ใช้เมล็ดเพาะลงถาดเพาะหรือกระถางเล็ก รอจนต้นสูงประมาณ 10 ซม. ค่อยย้ายลงกระถางใหญ่หรือแปลงดิน ใช้ดินร่วนผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ควรมีค้างหรือไม้พยุงให้ต้นเลื้อย

การดูแล

รดน้ำเช้า-เย็นให้ดินชื้นแต่ไม่แฉะ ให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกทุก 7-10 วัน ระวังเพลี้ยอ่อนและหนอนเจาะผล

ขอบคุณภาพจาก : พีพี เมล็ดพันธุ์

การปลูก

มะเขือเทศองุ่นเป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด ต้องการแสงประมาณ 6–8 ชั่วโมงต่อวัน จึงควรปลูกในที่กลางแจ้ง เช่น ระเบียงบ้าน หน้าต่าง หรือสวนหลังบ้าน หากมีพื้นที่จำกัด สามารถปลูกในกระถางหรือกระบะปลูกได้ โดยใช้กระถางขนาดกลางถึงใหญ่ (ความลึกไม่น้อยกว่า 30 ซม.)

อุณหภูมิที่เหมาะสม คือช่วงระหว่าง 20–30 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในฤดูหนาวหรือช่วงต้นร้อนจะให้ผลผลิตดีที่สุด

เก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 70 – 90 วัน ซึ่งระยะเริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยวนั้นจะใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือน

มะเขือเทศองุ่นเป็นหนึ่งในมะเขือเทศที่ปลูกง่าย ได้ผลผลิตเร็ว เหมาะกับมือใหม่หรือคนที่มีพื้นที่จำกัด ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย จะกินสดหรือปรุงอาหารก็อร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง

ราชาแห่งมะเขือเทศสายพันธุ์ผลใหญ่ ด้วยขนาดที่ใหญ่ หนัก เนื้อแน่นฉ่ำน้ำ เมล็ดน้อย และรสชาติหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอมเฉพาะตัว จึงเหมาะกับการทำเบอร์เกอร์ สลัด แซนด์วิช หรือซอสต่างๆ ได้ดีเยี่ยม

การปลูก

มะเขือเทศเนื้อเป็นพืชที่ต้องการแดดจัดเต็มวัน หากมีพื้นที่ที่แดดส่องน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน ต้นจะไม่ออกดอกหรือติดผลได้ยาก

การรดน้ำ
  • รดเช้าวันละ 1 ครั้ง หรือ 2 ครั้งในวันที่อากาศร้อน
  • หลีกเลี่ยงการรดตอนเย็นหรือกลางคืนเพราะความชื้นสะสมอาจทำให้เกิดโรคเชื้อรา

การเก็บเกี่ยว

  • ใช้กรรไกรตัดพร้อมก้าน อย่าดึงเพื่อป้องกันรากสะเทือนดส่องน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน ต้นจะไม่ออกดอกหรือติดผลได้ยาก
  • มะเขือเทศเนื้อจะเริ่มให้ผลผลิตหลังปลูกประมาณ 75–90 วัน เก็บเมื่อผลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม หรือแดงสดแต่ยังแข็ง

ขอบคุณภาพจาก : freshket

มะเขือเทศท้อมีข้อดีที่โดดเด่นคือ “เนื้อเยอะ เมล็ดน้อย เปลือกไม่บางจนแตกง่าย” จึงเหมาะมากสำหรับการปรุงอาหาร เช่น ทำซอสมะเขือเทศ ต้ม ผัด อบ หรือแม้แต่กินสดก็อร่อย

สายพันธุ์เนเธอร์แลนด์ เด่นที่รสชาติหวานอมเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์ เหมาะกับการกินผลสด ทรงผลยาว สีแดงสวย เนื้อแน่นกรอบ ไม่มีกลิ่นฉุน กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มคนรักสุขภาพและกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง เหมาะสำหรับปลูกเป็นพืชสร้างรายได้เสริม ปลูกไม่ต้องเยอะสามารถทำรายได้ต่อสัปดาห์ไม่น้อย

จุดเด่นของมะเขือเทศสายพันธุ์นี้ คือ เป็นมะเขือเทศสายพันธุ์ที่มีเมล็ดน้อย กินง่ายคล้ายกับองุ่นไร้เมล็ด เนื้อกรอบ มีกลิ่นหอมเฉพาะ ไม่ฉุน คนที่รักสุขภาพแต่ไม่ชอบกินมะเขือเทศก็สามารถกินได้ แถมขายได้ราคาดีกิโลกรัมไม่ต่ำกว่า 200-300 บาท

การเพาะเมล็ด ก่อนย้ายลงถาดเพาะจะต้องนำเมล็ดไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปบ่มไว้ในผ้า หรือบ่มในกระดาษทิชชู จนรากงอกได้ความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร จึงค่อยย้ายเมล็ดลงไปเพาะในถาดหลุม

โดยใช้เวลาในการเพาะเมล็ดประมาณ 12-14 วัน หรือให้ดูที่ใบจริงเป็นหลัก เพราะหากเป็นช่วงที่สภาพอากาศเย็นมากๆ การเจริญเติบโตจะช้า การเพาะเมล็ดก็ต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นอีก 2-3 วัน เพื่อให้มีใบจริง 2 ใบ ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ จึงค่อยย้ายปลูกลงถุงเพาะ เพื่อให้การเจริญเติบโตของพืชเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ลำต้นแข็งแรง โตเร็ว

เทคนิคการปลูกมะเขือเทศให้ได้ผลผลิตดี

สภาพอากาศที่เหมาะสม

  • ฤดูหนาว เป็นฤดูที่เหมาะสมที่สุดในการเจริญเติบโตของมะเขือเทศ อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 18-28 องศาเซลเซียส
  • ความชื้นของอากาศและอุณหภูมิสูง จะทำให้ได้ผลผลิตและคุณภาพลดลง และเกิดโรคง่าย
  • มะเขือเทศจะให้ผลผลิตต่ำในฤดูฝน แต่ถือเป็นช่วงที่มีราคาสูง

การเตรียมดิน

  • ควรเป็นดินร่วน เนื่องจากจะมีอินทรียวัตถุสูง และมีการระบายน้ำได้ดี
  • ค่าความเป็นกรดด่างของดิน 4.5-6.8 หากดินเป็นกรดใช้ปูนขาวปรับสภาพดิน
  • ไม่ควรปลูกซ้ำที่เดิม หรือในพื้นที่ปลูกพืชในวงศ์มะเขือ เช่น พริก มะเขือ เป็นต้น เพราะมีโรคหรือแมลงศัตรูพืชเหมือนกัน เช่น โรคเหี่ยวซึ่งมีเชื้อสาเหตุสะสมอยู่ในดิน อาจทำให้การปลูกมะเขือเทศเกิดปัญหาการผลิตได้ง่าย

การเพาะต้นกล้า การปลูกมะเขือเทศไม่นิยมหยอดเมล็ดลงหลุมปลูกโดยตรง เนื่องจากเมล็ดมีราคาแพงและในระยะแรกต้นมีการเจริญเติบโตช้า จึงนิยมใช้วิธีเตรียมต้นกล้าแล้วย้ายไปปลูก เมื่อต้นกล้ามีอายุ 20-25 วัน หรือมีใบจริง 2-3 ใบ

การเพาะกล้า

  1. การบ่มเมล็ด

นำเมล็ดพันธุ์มะเขือเทศ แช่ในน้ำสะอาด 1 ลิตร โดยให้เมล็ดทุกส่วนถูกน้ำ แช่เมล็ดนาน 20 นาที นำเมล็ด (ไม่ควรวางหนาแน่นเกินไป) มาวางในกระดาษเพาะกล้าหรือผ้าขาวบางชุบน้ำมาดๆ แล้วจึงห่อเมล็ดห่อกระดาษเพาะเมล็ดอีกครั้งด้วยถุงพลาสติกใสหรือถุงใส่แกง เก็บในที่อุณหภูมิ 28- 30 องศาเซลเซียส โดยใส่ในภาชนะที่มิดชิด เช่น กระติกน้ำเพื่อรักษาอุณหภูมิ นานประมาณ 24 ชั่วโมง

2. การเพาะกล้า โดยใช้ถาดหลุม / ถุงเพาะ มีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้ง่ายในการผลิตกล้ามะเขือเทศ และต้นกล้าเสียหายน้อยเมื่อย้ายปลูก

  • วัสดุปลูกที่นิยม ได้แก่ วัสดุส้าเร็จรูปสำหรับการเพาะกล้า เช่น พีท ดินผสม เป็นต้น
  • หยอดเมล็ดจำนวน 1 เมล็ด ลงบนวัสดุปลูกที่ใส่ในถาดหลุม / ถุงเพาะ แล้วกดเบาๆ ให้เมล็ดจมลงในวัสดุปลูก หรือกลบด้วยวัสดุปลูกบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม

3. การย้ายกล้า ควรย้ายกล้าเมื่อมีใบ 4-5 ใบ หรืออายุไม่เกิน 25-30 วัน หลังจากหยอดเมล็ด

การปักค้าง

การปักค้างต้องทำก่อนระยะออกดอก โดยเฉพาะในพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตแบบทอดเลื้อย ใช้ไม้ปักเป็นค้างให้ต้นก่อนคล้องเชือกกับลำต้นแล้วไขว้ด้านปลายและผูกกับค้างด้วยเงื่อนกระตุก หรือปักไม้และทำคานยาวด้านบน ก่อนนำเชือกไปผูกที่กลางต้นแล้วพันขึ้นไปทางด้านยอดและผูกปลายเชือกกับคานด้านบน

การตัดแต่งมะเขือเทศ

การตัดแต่งกิ่งทำในระยะการเจริญเติบโตทางลำต้นก่อนออกดอกและช่วงติดผล โดยปลิดใบและกิ่งแขนงให้ต้นโปร่ง ไม่เป็นที่สะสมของโรคและแมลงศัตรูพืช หากตัดแต่งมากเกินไปแสงแดดจัดจะทำให้สีผลซีด และมีความหวานลดลง

การให้น้ำ

มะเขือเทศต้องการน้ำสม่ำเสมอ ตั้งแต่เริ่มปลูกไปจนถึงผลเริ่มแก่ ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังการติดผล ควรลดปริมาณน้ำที่ให้ลงเพื่อป้องกันผลแตก หากมะเขือเทศขาดน้ำ และให้น้ำอย่างกระทันหันจะทำให้ผลแตกได้เช่นกัน สำหรับมะเขือเทศกลุ่มเชอร์รี่ควรงดน้ำก่อนเก็บเกี่ยว จะช่วยเพิ่มความหวานและกลิ่นหอม

การเก็บเกี่ยว

โดยทั่วไปสามารถเริ่มเก็บเกี่ยวหลังย้ายปลูก 75-85 วัน จะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ถ้าอุณหภูมิสูงจะสุกเร็ว ถ้าอุณหภูมิต่ำจะสุกช้า ทำการเก็บผลที่มีสีส้มหรือแดง โดยใช้กรรไกรตัดขั้วให้สั้น หรือเก็บเกี่ยวเป็นช่อโดยให้มีผลมะเขือเทศช่อละ 2-4 ผล แต่มีกลีบเลี้ยงติด

Related Posts