กรมวิชาการเกษตร
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมจัดประชุมสารวัตรเกษตรทั่วประเทศวันที่ 8 -9 กรกฎาคม 2567 เพื่อซักซ้อมแนวปฏิบัติในการตรวจสอบแหล่งผลิต ผู้ขออนุญาตผลิตปุ๋ย ผู้นำเข้า ผู้ประกอบการร้านค้าปุ๋ยให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการลักลอบการผลิต การจำหน่ายปุ๋ยปลอม ปุ๋ยด้อยคุณภาพให้กับเกษตรกรในฤดูการผลิตทางการเกษตรและโครงการปุ๋ยและชีวภัณฑ์คนละครึ่งตามนโยบายของรัฐบาลซึ่งจะเริ่มโครงการ 15 กรกฎาคม 2567 ทั้งนี้ ได้ย้ำต่อสารวัตรเกษตรว่าหากพบผู้ใดกระทำผิดกรมจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด และให้แยกโรงงานผลิตเหมือนศูนย์รวบรวมผลผลิต เป็นโรงงานสีแดง เหลือง เขียว กรณีแดงและเหลืองจะเป็นเป้าหมายหลัก และสุ่มตรวจต่อเนื่อง ขณะที่สีเขียวก็ต้องตรวจเป็นระยะเช่นกัน “ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้นโยบายกำชับให้ตรวจสอบโครงการอย่างเข้มข้นเพื่อให้ปุ๋ยในตลาดและในโครงการปุ๋ยคนละครึ่งมีคุณภาพและถูกต้องตามกฎหมาย การประชุมซักซ้อมจึงเป็นการกระชับแนวปฏิบัติของสารวัตรเกษตรทั้งหมด ให้เป็นทิศทางเดียวกัน โดยตรวจสอบตั้งแต่โรงงานผลิต ศ
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ย้ำระวัง มิจฉาชีพหลอกหลวงแอบอ้าง อำนวยความสะดวก ผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมโครงการปุ๋ยคนละครึ่ง หากมีข้อสงสัย การขอขึ้นทะเบียน และการขออนุญาตผลิตปุ๋ย สามารถติดต่อได้ที่ สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานตามโครงการสนับสนุนปุ๋ยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ตามนโยบายของ ร้อยเอก ธรรมมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ได้ปุ๋ยและชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ผ่านการตรวจสอบรับรองการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง กรมวิชาการเกษตร จะมีคณะกรรมการบริหารตรวจสอบคุณภาพปุ๋ยและชีวภัณฑ์ สำหรับโครงการดังกล่าว ซึ่งจะทำให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตั้งแต่การขึ้นทะเบียน การขออนุญาตผลิต ไปจนส่งการส่งมอบผลิตภัณฑ์ปุ๋ยและชีวภัณฑ์ให้กับเกษตรกร อธิบดีกรมวิชาการเกษตรย้ำ ผู้ผลิตปุ๋ยที่เข้าร่วมโครงการ ปุ๋ยคนละครึ่ง ต้องขอรับการขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรโดยตรง ไม่หลงเชื่อผู้แอบอ้าง หากจัดเตรียมเอกสารครบถ้วนสมบูรณ์ กรมวิชาการเกษตร พร้อมอำนวยความสะดวกในการขึ้น
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เป็นประธานเปิดการประชุมเรื่อง สนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพยากรพันธุกรรมพืชเพื่ออาหารและการเกษตร (International Treaty on Plant Genetic Resources for Food and Agriculture, ITPGRFA) โดย ดร.แดเนียล แมนเซลล่า ผู้แทนจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ด้านสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยทรัพยากรพันธุกรรมพืชเพื่ออาหารและการเกษตรให้ความรู้รายละเอียดสนธิสัญญาในโอกาสติดตามความคืบหน้าต่อท่าทีของไทยหลังจากได้ลงนามในสนธิสัญญาระหว่างประเทศดังกล่าว เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) แต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน ขณะที่ปัจจุบันมีประเทศที่เป็นภาคีสนธิสัญญาฯ แล้ว 151 ประเทศ โดย นายโบ โจว ผู้แทน FAO ภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก (FAO Regional Office for Asia and the Pacific) ประจำประเทศไทยเข้าร่วมด้วย ขณะที่ฝ่ายไทยมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพืชและอาหารเข้าร่วมประชุมด้วยเพื่อนำข้อหารือไปกำหนดท่าทีระดับกรมเพื่อเสนอต่อระดับนโยบายต่อไป “ดร.แดเนียล ได้ให้ความรู้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพันธุกรรมพืชอาหารและการเกษตรของไทยต่อสนธิสัญญาดังกล่าว
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมวิชาการเกษตร จัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษา 6 รอบ วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ณ สวนเฉลิมพระเกียรติ 55 พรรษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ น้อมนำแนวพระราชดำรัส สืบสาน รักษา ต่อยอด ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 มาเป็นแนวทางในการพัฒนางานวิจัยด้านการเกษตรเพื่อสนับสนุนการเติบโตของประเทศด้านเกษตรกรรมที่ทั่วโลกยอมรับว่าไทยเป็นครัวของโลกและเป็นแหล่งผลิตอาหารปลอดภัย โดยมีเกษตรกรเป็นแกนหลักสำคัญในการพัฒนาต่อยอด ขยายผลด้านการเกษตรนำมาสู่คุณภาพชีวิตที่ดีและความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย โดยจะเห็นว่าผลงานวิจัยที่นำมาเสนอนั้นไม่ว่าจะเป็นด้านการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย สารชีวภัณฑ์ ปุ๋ยชีวภาพ และเทคโนโลยีทางการเกษตร ล้วนมุ่งขยายผล ต่อยอดพัฒนา สืบสานด้านการเกษตรสู่ความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตรได้พัฒนางานวิจัยให้ครอบคลุมตล
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตรกำลังอยู่ระหว่างการยกร่างประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และร่างประกาศกรมวิชาการเกษตร เพื่อรองรับการพัฒนาพันธุ์พืช สัตว์ ประมง ที่มาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม Gene Editing (GEd) ซึ่งไม่ใช่การพัฒนาโดยตัดแต่งพันธุกรรมหรือจีเอ็มโอ ทางกรมวิชาการเกษตรได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาต่อเนื่อง คาดว่าจะนำเสนอต่อ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2567 นี้ เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ได้ทันการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปวางแผนงบประมาณขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงวิสัยทัศน์แนวทางขับเคลื่อนภาคเกษตร IGNITE AGRICULTURE HUB ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเกษตร และอาหารของโลก เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา “ร้อยเอก ธรรมนัส รมว.เกษตรฯ ขานรับนโยบายสนับสนุนภาคเกษตร ศึกษาการใช้เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม ให้เป็นนโยบายเร่งด่วน กรมวิชาการเกษตรจึงได้จัดประชุมคณะกรรมการความปลอดภัยทางชีวภาพด้านการเกษตร เ
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ได้ประชุมผ่านระบบซูมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร สำนักวิจัยและพัฒนาการการเกษตรที่ 7 (สวพ.7) ผู้ส่งออกทุเรียน โรงคัดบรรจุ (ล้ง) และเกษตรกรภาคใต้ตอนบนเมื่อ 31 พฤษภาคม 2567 โดยมีผู้ประชุมผ่านระบบซูมและในห้องประชุมกว่า 200 คน เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน เตรียมความพร้อมสำหรับการส่งออกทุเรียนภาคใต้ไปจีนซึ่งจะเริ่มตัดทุเรียนกลางเดือนมิถุนายน 2567 เป็นต้นไป ปีนี้คาดมีผลผลิตประมาณ 532,573 ตัน และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องการให้ไทยรักษาแชมป์ผู้ส่งออกทุเรียนคุณภาพไปตลาดจีนที่แต่ละปีมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งแสนล้านบาท โดยให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนเพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งออก ซึ่งปีนี้คาดว่าไทยจะส่งออกทุเรียนไปจีนได้มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1.3 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่ 1 มกราคม-29 พฤษภาคม 2567 ไทยส่งออกไปจีนแล้ว 4.7 แสนตัน มูลค่า 63,568 ล้านบาท “ในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารผลไม้ Fruit Board ที่มี ร้อยเอก ธรรมนัส เป็นประธานนั้น ทางผู้ประกอบการส่งออกผล
ก้าวเข้าสู่ช่วงภาวะอากาศร้อน แห้งแล้ง และมีลมพัดแรงเป็นระยะ เสี่ยงเจอปัญหาการแพร่ระบาดของหนอนเจาะดอกมะลิ ที่มักเข้าทำลายต้นมะลิที่กำลังผลิดอก จะพบตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่เป็นฟองเดี่ยวๆ ตามบริเวณกลีบดอก ก้านกลีบเลี้ยง ใต้ใบ หรือรอยยอดอ่อน เมื่อตัวอ่อนหนอนฟักออกมาจากไข่จะเข้าทำลายดอกมะลิในระยะดอกตูมที่มีขนาดเล็ก หนอนเจาะเข้าไปกัดกินอยู่ภายในดอกมะลิ สังเกตได้จากดอกมะลิเป็นรอยช้ำ เห็นมูลของหนอนเป็นขุยๆ อยู่ภายใต้ดอก สีของดอกมะลิจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง สีน้ำตาลแห้ง เหี่ยวแห้ง และร่วงหล่น หากต้นมะลิไม่มีดอก หนอนจะกัดกินใบอ่อนหรือยอดอ่อน หากมีการระบาดรุนแรงจะทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บดอกมะลิขายได้เลย หากเกษตรกรผู้ปลูกมะลิเจอปัญหาลักษณะนี้ กรมวิชาการเกษตรแนะนำวิธีป้องกันและกำจัดหนอนเจาะดอกมะลิ โดยพ่นสารฆ่าแมลงฟิโพรนิล 5% เอสซี อัตรา 40 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารคลอร์ไพริฟอส 40% อีซี อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หากพบการระบาดของหนอนเจาะดอกมะลิ ให้ฉีดพ่นยาฆ่าแมลงทุกๆ 4 วัน ไม่ควรพ่นสารฆ่าแมลงชนิดเดียวติดต่อกันหลายครั้ง เพราะเสี่ยงให้หนอนเจาะดอกมะลิสร้างภูมิต้านทานยาฆ่าแมลงชนิดนั้นได้รวดเร็ว ห
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ปัจจุบันการขยายตัวของตลาดมะพร้าวกะทิมีแนวโน้มสูงเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถซื้อขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ ทำให้มีราคาสูงถึง 150-250 บาทต่อผล รวมทั้งมีการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น เช่น เครื่องสำอาง ฟิล์มห่ออาหาร อุตสาหกรรมยา และอาหารเสริม เป็นต้น ผลผลิตมะพร้าวกะทิ จึงไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด และมีข้อจำกัดในการขยายพันธุ์มะพร้าวกะทิซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเพิ่มพื้นที่การผลิตให้เพียงพอต่ออุตสาหกรรม คณะนักวิจัยของกรมวิชาการเกษตรจึงได้วิจัยและพัฒนาปรับปรุงพันธุ์มะพร้าวกะทิพันธุ์แท้ ที่ให้ผลผลิตเป็นมะพร้าวกะทิทุกผลและให้ผลผลิตสูง เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดมะพร้าวกะทิ นางสาวปริญดา หรูนหีม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรระนอง (ศวพ.ระนอง) กรมวิชาการเกษตร หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า ในธรรมชาติมะพร้าว 1,000 ลูก จะพบมะพร้าวกะทิเพียง 1-3 ลูกเท่านั้น หรือไม่เกิน 0.3 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากพันธุกรรรมที่ควบคุมการเกิดเนื้อกะทิเป็นลักษณะด้อย และสูญเสียความสามารถในการงอกด้วยวิธีปกติ จึงต้องขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเลี้ยงคัพภะ ดังนั้น จึงได้ทำการวิ
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น พื้นที่ทำการเกษตรที่เคยอุดมสมบูรณ์ต่างประสบปัญหาภัยแล้งจากภาวะฝนทิ้งช่วงยาวนานขึ้น ทำให้พืชขาดน้ำ ชะงักการเติบโต และได้ผลผลิตน้อยลงกว่าเดิม ในสภาวะที่โลกเข้าสู่วิกฤตโลกร้อน “เกษตรทฤษฎีใหม่” ซึ่งเป็นแนวพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการบริหารจัดการที่ดินและน้ำเพื่อการเกษตร นับว่าเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ปัญหาน้ำไม่เพียงพอให้แก่เกษตรกร สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร ได้น้อมนำแนวพระราชดำริ “เกษตรทฤษฎีใหม่” มาใช้แก้วิกฤตขาดน้ำทำเกษตร โดยนำหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ ผนวกกับแนวคิด พลังงานทดแทน ระบบเกษตรอัจฉริยะ การให้น้ำตามความต้องการของพืช และคาร์บอนเครดิต จนประสบความสำเร็จในการประยุกต์เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ เข้ามาใช้ในแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ เช่น ระบบให้น้ำทุเรียนพลังงานแสงอาทิตย์ โรงเรือนผักพรางแสงอัตโนมัติพลังงานแสงอาทิตย์ จะช่วยให้ใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพผลผลิต และยังช่วยลดโลกร้อนอีกด้วย เทคโนโลยีการให้น้ำแบบแม่นยำ สำหรับระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์
สภาพอากาศร้อนและแดดจัดในระยะนี้ เกษตรกรผู้ปลูกพริกเตรียมรับมือการระบาดของเพลี้ยไฟพริก สามารถพบได้ในระยะที่ต้นพริกออกดอกและติดผล เริ่มแรกจะพบตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยง จากยอด ใบอ่อน ตาดอก และดอก ทำให้ใบหรือยอดอ่อนหงิก ขอบใบหงิกหรือม้วนขึ้นด้านบน ถ้าเพลี้ยไฟพริกเข้าทำลายในระยะที่ต้นพริกออกดอก จะส่งผลทำให้ดอกพริกร่วงไม่ติดผล ส่วนการเข้าทำลายในระยะติดผล จะทำให้รูปทรงของผลพริกบิดงอ หากระบาดรุนแรง จะทำให้ต้นพริกชะงักการเจริญเติบโตหรือแห้งตายในที่สุด เกษตรกรควรสุ่มสำรวจตรวจต้นพริก 100 ยอดต่อไร่ ในทุกสัปดาห์อย่างสม่ำเสมอ โดยใช้วิธีการเคาะลงบนแผ่นพลาสติกสีดำ และป้องกันกำจัดเมื่อพบเพลี้ยไฟพริกเฉลี่ยมากกว่า 5 ตัวต่อยอด ในขั้นต้นควรเพิ่มความชื้นให้ต้นพริกด้วยการให้น้ำ อย่าปล่อยให้ต้นพริกขาดน้ำ เพราะจะทำให้พืชอ่อนแอ และเพลี้ยไฟพริกจะระบาดได้อย่างรวดเร็ว หากพบการระบาด สำหรับในแหล่งปลูกใหม่ ให้เกษตรกรพ่นด้วยสารฆ่าแมลงคาร์บาริล 85% ดับเบิ้ลยูพี อัตรา 20-30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารโพรไทโอฟอส 50% อีซี อัตรา 20-30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารคาร์โบซัลแฟน 20% อีซี อัตรา 20-30 มิลลิลิตรต่อน้ำ