กรมวิชาการเกษตร
กรุงเทพฯ 7 พฤศจิกายน 2567 – เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท เจียไต๋ จำกัด ผู้นำธุรกิจนวัตกรรมการเกษตรของไทย นำทีมโดรนเพื่อการเกษตร XAG Thailand ร่วมมือกับกรมวิชาการเกษตร ลงพื้นที่ปฏิบัติการโครงการฟื้นฟูและสกัดการระบาดโรคแมลงศัตรูพืชฉุกเฉินในพื้นที่น้ำท่วมนำร่องที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยทำให้พื้นที่แปลงเกษตรเสียหาย โดยเจียไต๋ในบทบาทของโซลูชัน โพรไวเดอร์ หรือผู้ส่งมอบสูตรสำเร็จทางการเกษตร ได้สนับสนุนโซลูชันการใช้งานผลิตภัณฑ์อารักขาพืชด้วยโดรนเพื่อการเกษตร ซึ่งช่วยให้เกษตรกรประหยัดเวลาและแรงงาน อีกทั้ง ยังเพิ่มความแม่นยำในการพ่น พร้อมกันนี้ เจียไต๋ได้แนะแนวทางการใช้งานผลิตภัณฑ์อย่างปลอดภัยต่อผู้ใช้ ต่อสิ่งแวดล้อม และต่อผู้บริโภค เพื่อเป้าหมายของเกษตรปลอดภัย และตามเป้าประสงค์ในการขับเคลื่อนเกษตรยุคใหม่ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีการเกษตร เกี่ยวกับกลุ่มบริษัทเจียไต๋ บริษัท เจียไต๋ จำกัด ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2464 ปัจจุบันเป็นหนึ่งในบริษัทเกษตรกรรมชั้นนำของเอเชีย ธุรกิจของเจียไต๋ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปสู่ปลายน้ำ
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่ากรมเตรียมจัดงานเปิดบ้านงานวิจัยกรมวิชาการเกษตรประจำปี 2567ระหว่างวันที่19-22 กันยายน 67 ณ สวนเฉลิมพระเกียรติ 55 พรรษา กรมวิชาการเกษตร ภายใต้หัวข้อ”จุดประกายพลังวิจัย ขับเคลื่อนเกษตรไทยอย่างยั่งยืน”เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยที่มีศักยภาพมีความพร้อมที่จะใช้ประโยชน์และขยายผลนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนตามนโยบายตลาดนำ นวัตกรรมเสริมเพิ่มรายได้เกษตรกร และนโยบาย IGNITE THAILAND : AGRICULTURE HUB ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก โดยงานวิจัยที่นำมาแสดงปีนี้เป็นผลสำเร็จของบุคลากรกรมวิชาการเกษตร(กวก.)เป้าหมายคือพัฒนายกระดับการเกษตรของประเทศนำมาสู่การเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรเป็น 3 เท่าใน 4ปีตามนโยบายของรัฐบาล “ พันธกิจงานวิจัยของกรมคือต้องตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรและตลาดผู้บริโภครวมถึงการพัฒนาพันธุ์พืชให้มีปริมาณผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อรายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้นและลดการนำเข้า อีกทั้งจะต้องตอบโจทย์เรื่องคุณภาพผลผลิต การต้านทานโรคพืชและแมลงศัตรูพืช การเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการเพื่อรองรับความมั่น
กรมวิชาการเกษตร ได้พัฒนาชีวภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืช มีความปลอดภัยสูง ต่อมนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกษตรกรใช้ทดแทนการใช้สารเคมีทางการเกษตร ให้เกิดความปลอดภัยต่อเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน กรมวิชาการเกษตร ได้ขับเคลื่อนการใช้ชีวภัณฑ์ทดแทนการใช้สารเคมีทางการเกษตร โดยถ่ายทอดสู่เกษตรกรส่งเสริมให้เกษตรกรใช้และผลิตขยายชีวภัณฑ์เอง ทำให้ได้ผลผลิตพืชที่ปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง ลดต้นทุน เพิ่มแหล่งผลิตพืชปลอดภัยในระบบเกษตรดีที่เหมาะสม (GAP) และส่งเสริมระบบเกษตรปลอดภัยด้วยเกษตรอินทรีย์ โดยชีวภัณฑ์ของกรมวิชาการเกษตรที่ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เกษตรกรปลูกไม้ผล และพืชผัก สามารถป้องกันได้ทั้งแมลงศัตรูพืช และโรคพืช ดังนี้ 1. ราเขียวเมตาไรเซียม มีความจำเพาะเจาะจงในการเข้าทำลายของด้วงแรดซึ่งเป็นศัตรูที่สำคัญในมะพร้าวและพืชตระกูลปาล์ม สามารถทำลายด้วงแรดได้ทั้งในระยะตัวหนอน ดักแด้ และตัวเต็มวัย 2. โปรโตซัวกำจัดหนู ใช้ในการกำจัดทั้งหนูบ้านและหนูศัตรูพืช 3. เชื้อราไตรโคเดอร์มา ใช้ควบคุมโรคตายพรายของกล้วย 4. ไส้เดือนฝอยศัตรูแมลงชนิดผง ใช้ควบคุมแมลงศัตรูพืชได้หลาย
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ เตรียมเพิ่มปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนการนำเข้าอีกประมาณ 4 ล้านตัน ให้เพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ โดย ปี 2567 คาดการณ์ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นมีประมาณ 4.99 ล้านตัน ราคาเฉลี่ย (มกราคม-มิถุนายน) อยู่ที่ 8.78 บาทต่อกิโลกรัม มูลค่าการผลิต 43,787.27 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้มีปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา ที่ประสบกับภาวะเอลนีโญ ประกอบกับราคาในปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูง จูงใจให้เกษตรกรเอาใจใส่มากขึ้น นายอนุสรณ์ เทียนศิริฤกษ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า เพื่อลดต้นทุน เพิ่มรายได้ให้เกษตรกรให้เป็น 3 เท่า ภายใน 4 ปี ตามนโยบายรัฐบาล กลุ่มวิจัยปฐพีวิทยาที่มีภารกิจหน้าที่ในการศึกษาค้นคว้า วิจัยและพัฒนาวิชาการ เกี่ยวกับเทคโนโลยีปุ๋ยและสารปรับปรุงดิน รวมไปถึงการให้คำแนะนำการใช้ปุ๋ยกับข้าวโพด ให้เกษตรกรที่ลงทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ดินก่อนให
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2567 ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้างานพัฒนาและวิจัยพันธุ์พืชของหน่วยงานวิจัยภาคเหนือตอนบน สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1 และศูนย์เครือข่ายของกรมวิชาการเกษตร (กวก.) ได้สั่งการให้ นายอนันต์ ปัญญาเพิ่ม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ เร่งขึ้นทะเบียนพันธุ์กาแฟ Geisha และ Java ที่มีการรวบรวมไว้ที่ศูนย์วิจัยฯ ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 เพื่อคุ้มครองสิทธิ์และสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพกาแฟไทย ปัจจุบันกรมมีกาแฟสายพันธุ์ กวก.เชียงใหม่ 80 กวก.เชียงราย 1 และ 2 ซึ่งมีกลิ่น รส เป็นเอกลักษณ์ ต้านทานโรคราสนิมและมีผลผลิตที่ดีเป็นพันธุ์แนะนำให้เกษตรกรนำไปปลูกเชิงพาณิชย์ นอกจากนั้น กรมยังได้เตรียมรับรองพันธุ์ชาแม่จอนหลวงเบอร์ 3 ที่อยู่ในขั้นตอนขอรับรองเป็นพันธุ์แนะนำ เป็นชาคุณภาพสูงเหมาะแปรรูปเป็นชาเขียวมัทฉะ เบื้องต้นมีบริษัทเอกชนรายใหญ่ในจังหวัดเชียงรายสนใจติดต่อซื้อกล้าพันธุ์ชาจำนวนมากเป็นการตอกย้ำเรื่องคุณภาพสายพันธุ์ดังกล่าว “กรมไม่เคยหยุดนิ่งในการวิจัยพัฒนาพันธุ์พืช สำหรับกาแฟทั้งอะราบิกา-โรบัสตาสายพ
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8สิงหาคม 2567 ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้างานพัฒนาและวิจัยพันธุ์พืชของหน่วยงานวิจัยภาคเหนือตอนบน สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1 และศูนย์เครือข่ายของกรมวิชาการเกษตร(กวก.) ได้สั่งการให้นายอนันต์ ปัญญาเพิ่ม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ เร่งขึ้นทะเบียนพันธุ์กาแฟ Geisha และ Java ที่มีการรวบรวมไว้ที่ศูนย์วิจัยฯ ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 เพื่อคุ้มครองสิทธิ์และสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพกาแฟไทย ปัจจุบันกรมมีกาแฟสายพันธุ์กวก.เชียงใหม่ 80 กวก.เชียงราย1 และ 2 ซึ่งมีกลิ่น รส เป็นเอกลักษณ์ ต้านทานโรคราสนิมและมีผลผลิตที่ดีเป็นพันธุ์แนะนำให้เกษตรกรนำไปปลูกเชิงพาณิชย์ นอกจากนั้นกรมยังได้เตรียมรับรองพันธุ์ชาแม่จอนหลวงเบอร์ 3 ที่อยู่ในขั้นตอนขอรับรองเป็นพันธุ์แนะนำ เป็นชาคุณภาพสูงเหมาะแปรรูปเป็นชาเขียวมัทฉะ เบื้องต้นมีบริษัทเอกชนรายใหญ่ในจังหวัดเชียงรายสนใจติดต่อซื้อกล้าพันธุ์ชาจำนวนมากเป็นการตอกย้ำเรื่องคุณภาพสายพันธุ์ดังกล่าว “กรมไม่เคยหยุดนิ่งในการวิจัยพัฒนาพันธุ์พืช สำหรับกาแฟทั้งอะราบิกา -โร
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ทุเรียนราชาผลไม้ที่จีนนำเข้าปีละหลายแสนล้านบาท โดยปี 2565- 2566 ไทยกลายเป็นแชมป์ส่งออกทุเรียนอันดับ 1 ของโลก และอันดับ 1 ในจีน โดยยอดส่งออกทุเรียนทะลุ 1 แสนล้านบาท แซงหน้า มันสำปะหลัง ยางพารา ส่งผลให้หลายประเทศกระโดดเข้าแย่งตลาดส่งออกทุเรียนไปจีนเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย เวียดนาม รวมถึงอินโดนีเซีย นายอนุสรณ์ เทียนศิริฤกษ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา ฯ มองอนาคตทุเรียนไทยยังต้องเผชิญการแข่งขันสูง จำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพภายใต้ต้นทุนที่ต่ำลง เพื่อจะนำมาซึ่งรายได้ที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน สอดคล้องกับเป้าหมาย ขับเคลื่อน IGNITE THAILAND “จุดประกายเกษตรไทย สู่ศูนย์กลางสินค้าเกษตรและอาหารของโลก” เพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรเป็น 3 เท่า ภายใน 4 ปี ดังนั้น การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินจึงน่าจะเป็นคำตอบหนึ่ง ที่จะลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เพราะการใช้ปุ๋ยเป็นต้นทุนสำคัญมากกว่า 30% ของต้นทุนการผลิตด้านการเกษตร จากการวิจัยในแปลงสาธิต ในจังหวัดชุมพร และจังหวัดสุราษฎ
นายอนุสรณ์ เทียนศิริฤกษ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร (กวก.) เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยเฉพาะวิกฤตแล้งกระทบโดยตรงต่อผลผลิตอ้อย ช่วงต้นปี 2567 เกิดความแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วงในบางพื้นที่ ทำให้ผลผลิตอ้อยเฉลี่ยต่อไร่ลดลง ทั้งปีคาดมีปริมาณมี 85.78 ล้านตัน มูลค่าการผลิตรวม 123,311.50 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย (ม.ค. – มิ.ย.) 1,438 บาท/ตัน กลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา มีหน้าที่แนะนำการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินเป็นการใช้ปุ๋ยให้ตรงกับระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน เหมาะสมตามความต้องการของอ้อย สามารถใช้ปุ๋ยได้ถูกอัตรา ดังนั้น พื้นที่ที่เหมาะสมที่จะปลูกอ้อย ต้องมีโครงสร้างดี ควรมีเนื้อดินร่วนปนทรายถึงร่วนเหนียว ค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน (pH) เป็นกรดจัดถึงด่างเล็กน้อย (5.5-7.5) อินทรียวัตถุ 1.5-2.5 % ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ 10-20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ 80-150 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เป็นต้น หากพื้นที่ปลูกอ้อยเป็นดินทรายหรือร่วนปนทรายโดยทั่วไปจะมีอินทรียวัตถุในปริมาณต่ำ ควรปรับปรุงดินด้วยวัสดุอินทรีย์ เช่น กากตะกอนหม้อกรองอ้อย 1,00
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่าภายในเดือนกันยายน 2567 คาดว่าจะได้โมเดลการซื้อขายคาร์บอนเครดิตมันสำปะหลัง เป็นพืชตัวแรกของพืชเศรษฐกิจนำร่อง 6 ชนิดและภายในปี 67 นี้จะครบทั้งหมดเพื่อใช้ขยายผลให้เกษตรกร สถาบันเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนหรือหน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมโครงการขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทยT-VER ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(องค์การมหาชน) หรือ อบก. ปัจจุบันกรมได้เตรียมหน่วยงานตรวจรับรองคาร์บอนเครดิตภาคการเกษตร(CB) ซึ่งใกล้จะได้รับการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม( สมอ.) และได้อบรมเจ้าหน้าที่เป็นผู้ตรวจประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจ(VVB) ตามหลักสูตรของอบก.จำนวน 31 รายรวมถึงการจัดตั้งหน่วยงานกองวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่และการจัดการก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคเกษตร เพื่อให้บริการต่อประชาชนซึ่งเป็นไปตามแผนงานและนโยบายของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “กรมอยู่ระหว่างทำเส้นฐานคาร์บอนเครดิตของพืชเศรษฐกิจหลักระดับประเทศ (National Carbon Credit Baseline)เป็นฐานคำนวณปริมาณคาร์บอนเครดิตเพื่อใช้คิดค่าตอบแทนกา
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่าได้สั่งการให้สารวัตรเกษตร สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตรทุกพื้นที่ออกตรวจติดตามร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เคมีเกษตรและปุ๋ยเพื่อป้องกันการลักลอบจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐานให้กับเกษตรกรและประชาชนทั่วไปตามข้อสั่งการของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำชับให้ทุกฝ่ายปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน หากพบผิดให้ดำเนินคดีตามกฎหมายทันที เนื่องจากขณะนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูเพาะปลูกทำให้มีความต้องการใช้สินค้ากลุ่มดังกล่าวสูง โดยเฉพาะช่องทางการขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมมากประชาชนเข้าถึงได้ง่ายแต่เสี่ยงที่ผู้บริโภคอาจได้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ได้รับการอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งหากพบร้านค้าใดมีพฤติกรรมดังกล่าวประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 1174 รวมถึงเครือข่ายสารวัตรเกษตรอาสาซึ่งเป็นกำลังสำคัญของกรมวิชาการเกษตร “ ขอให้เกษตรกรเลือกร้านที่มีเครื่องหมายQ-Shop ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่กรมได้มอบให้ร้านที่ได้มาตรฐานหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการร้านจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่ม