กรมวิชาการเกษตร
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า “เห็ดฟาง” ถือเป็นเห็ดยอดนิยมในประเทศไทย มีปริมาณการผลิตสูงคิดเป็น 75% ของผลผลิตเห็ดทั้งหมดในประเทศ มีอายุการเก็บรักษาสั้น โดยเฉพาะเห็ดฟางดอกบาน ซึ่งไม่นิยมบริโภค และเน่าเสียได้ง่าย ทำให้เกิดความสูญเสียของผลผลิตทางการเกษตร กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร (กวป.) กรมวิชาการเกษตร จึงมีแนวคิดเพิ่มมูลค่าเห็ดฟางโดยนำมาแปรรูปเพิ่มการใช้ประโยชน์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เนื่องจากเห็ดฟางมีโปรตีนสูง และมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายและมีความสำคัญต่อผิวสามารถเป็นแหล่งวัตถุดิบของนวัตกรรมในวงการเครื่องสำอางได้ด้วย นางสาวสุรีย์รัตน์ รักเหลือ นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการ กลุ่มวิจัยและพัฒนาการแปรรูปผลิตผลเกษตร ทีมนักวิจัยกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า งานวิจัยการผลิตโปรตีนไฮโดรไลเซทจากเห็ดฟาง มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มมูลค่าเห็ดฟาง โดยเฉพาะเห็ดฟางดอกบานที่ใกล้หมดอายุการวางจำหน่าย และราคาตกต่ำ ด้วยการผลิตเป็นโปรตีนไฮโดรไลเซท สำหรับเป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยศึกษาการใช้เอนไซม์อัลคาเลส ในการย่อยเห็ดฟางที่ระยะเวลาการย่อย 2
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 EU โดย รัฐสภายุโรป (European parliament) มีมติรับรองเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม หรือเทคนิคจีโนมแบบใหม่ (GEd, New Genomic Techniques (NGTs), Genome editing) เป็นผลให้พืชที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์ด้วยเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (GEd) และเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ มีความปลอดภัยสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่จัดเป็นพืช GMOs และจะถูกพิจารณาเช่นเดียวกับพืชที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์แบบปกติ ไม่ใช้กฎหมายและหลักเกณฑ์เดียวกันกับพืช GMOs อีกต่อไป ผลการลงมติในครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารของยุโรป และการทำให้การผลิตทางการเกษตรเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กฎระเบียบใหม่นี้จะอนุญาตให้มีการพัฒนาพันธุ์พืชที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งสามารถรับประกันผลผลิตที่สูงขึ้น ทนต่อสภาพอากาศและใช้ปุ๋ย ยาฆ่าแมลงน้อยลง โดยในขั้นตอนหลังจากนี้ รัฐสภายุโรปจะดำเนินการเจรจากับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปในการร่างกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ผลการลงมติของสหภาพยุโรปครั้งนี้ ตอบโจทย์ และ
กรมวิชาการเกษตร แจ้งเตือนเกษตรกรผู้ปลูกกล้วยเฝ้าระวัง โรคตายพราย หรือ โรคปานามา หรือ โรคเหี่ยว สาเหตุจากเชื้อรา Fusarium oxysporum f.sp. cubense พบโรคได้ทุกระยะการเจริญเติบโตของกล้วย โดยให้สังเกตลักษณะต้นกล้วยที่มีอาการของโรคตายพรายใบกล้วยที่อยู่รอบนอกหรือใบแก่แสดงอาการเหี่ยวเหลือง ใบจะเหลืองจากขอบใบและลุกลามเข้ากลางใบ ก้านใบหักพับตรงรอยต่อกับลำต้นเทียม และจะทยอยหักพับตั้งแต่ใบที่อยู่รอบนอกเข้าไปสู่ใบด้านใน ระยะแรกใบยอดยังเขียวตั้งตรง จากนั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ต่อมาใบทั้งหมดจะเหี่ยวแห้ง เมื่อตัดลำต้นเทียมตามขวางหรือตามยาว จะพบเนื้อเยื่อภายในลำต้นเทียมเน่าเป็นสีน้ำตาลตามทางยาวของลำต้นเทียม เนื้อเยื่อในเหง้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ต้นกล้วยชะงักการเจริญเติบโตและตายในที่สุด การป้องกันกำจัดโรค หากต้องการปลูกกล้วยในพื้นที่ใหม่ ควรเลือกแปลงที่ไม่เคยพบโรคนี้มาก่อน และเลือกหน่อกล้วยจากแหล่งปลูกที่ไม่เคยมีการระบาดของโรค หรือไม่นำหน่อพันธุ์จากกอที่เป็นโรคไปปลูกหรือขยาย ใช้หน่อพันธุ์ที่ไม่มีร่องรอยการติดเชื้อ ในกรณีที่ไม่แน่ใจให้ชุบหน่อพันธุ์กล้วยด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช อีไตรไดอะโซล+ควินโตซีน 6% +
บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ภายใต้กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ผู้จัดหาวัตถุดิบหลักทางการเกษตรให้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จับมือกรมวิชาการเกษตร ยกระดับการอบรมเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ก้าวสู่มาตรฐานสากลเพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก ถ่ายทอดองค์ความรู้เพาะปลูกตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี หรือ GAP (Good Agriculture Practice) โดยนำร่องพัฒนาเกษตรกรกลุ่มวิสาหกิจชุมชนนากลาง จังหวัดนครราชสีมา บริษัทฯ ร่วมมือกับกรมวิชาการเกษตร จัดอบรมถ่ายทอดความรู้และพัฒนาแนวทางการเพาะปลูกข้าวโพดตามมาตรฐานสินค้าเกษตร GAP ให้แก่กลุ่มเกษตรกรในวิสาหกิจชุมชนนากลาง อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา ปรับปรุงการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัดว์เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการตรวจประเมินเพื่อรับรองเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรในทุกขั้นตอนของการผลิตในระดับไร่และการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัย มีคุณภาพโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สุขภาพ ความปลอดภัย และสวัสดิภาพของเกษตรกร โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในความมุ่งมั่นของบริษัทฯและเครือเจริญโภคภัณฑ์ ด้านความยั่งยืนและแก้ปัญหาการเ
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั่วประเทศ จัดงาน มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 หรือ Thailand Research Expo 2023 ภายใต้แนวคิด “ขับเคลื่อนงานวิจัย สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างไทยยั่งยืน” นับเป็นหนึ่งในเวทีสำคัญในการนำเสนอผลงานวิจัย สู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการ เพื่อใช้ประโยชน์งานวิจัยและนวัตกรรมพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ เป็นประจำทุกปี การจัดงานในปีนี้ มีผลงานวิจัยมาร่วมจัดแสดง แบ่งเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ งานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจมูลค่าสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม งานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ งานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน งานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อใช้ประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพชุมชน สำหรับบู๊ทนิทรรศการที่มีผลงานวิจัยโดดเด่น เป็นที่สนใจของนักวิจัย นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ได้แก่ 1.เทคโนโลยีการให้น้ำแบบแม่นยำสำหรับระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ ผลงานวิจัยของ สถาบันวิจัยเกษตร
ลิ้นจี่ พันธุ์นครพนม 1 หรือ นพ.1 เป็นลิ้นจี่ที่คัดเลือกและพัฒนาโดยกรมวิชาการเกษตร จนปัจจุบันเป็นผลไม้และเป็นสินค้า GI ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนครพนม ข้อมูลปี 2560 มีผลผลิตรวม 580.8 ตัน พื้นที่เก็บเกี่ยว 1,098 ไร่ จากพื้นที่ปลูกทั้งหมด 2,711 ไร่ พันธุ์ลิ้นจี่ที่ปลูกในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มที่ปลูกในภาคกลางและภาคอื่นๆ เป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นที่ไม่เย็นมากและระยะเวลาหนาวเย็นที่ต่อเนื่องกันไม่นานก็สามารถชักนำให้ออกดอกได้ เรียกว่า ลิ้นจี่กลุ่มพันธุ์เบา เก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงปลายเดือนมีนาคมหรือเมษายน เช่น พันธุ์ค่อม สำเภาแก้ว เขียวหวาน กระโถนท้องพระโรง สาแหรกทอง และพันธุ์นครพนม 1 เป็นต้น 2.กลุ่มพันธุ์ที่ปลูกทางภาคเหนือ เป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นมากและต่อเนื่องยาวนานในการกระตุ้นและชักนำการออกดอก ให้ผลผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เช่น พันธุ์ฮงฮวย จักรพรรดิ กิมเจ็งบริวสเตอร์ และกิมจี๊ เป็นต้น ลิ้นจี่พันธุ์เบา มีข้อได้เปรียบคือ ให้ผลผลิตเร็ว ช่วงที่ผลผลิตมีน้อย ทำให้ขายได้ราคาสูง ควรจะมีการส่งเสริมให้ปลูกในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ซึ่งพันธุ์นครพนม 1 หรือ นพ.1 เหมาะส
กรมวิชาการเกษตรไฟเขียวรับรอง ห้องปฏิบัติการตรวจสอบศัตรูพืชไบเออร์ พิษณุโลก ซึ่งนับเป็นบริษัทผู้ผลิตและส่งออกเมล็ดพันธุ์แห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรอง เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลในการยกระดับประเทศไทยเป็นผู้นำด้านเมล็ดพันธุ์ผักระดับโลก นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมฯ ได้กำหนดเป้าหมายการส่งออกเมล็ดพันธุ์มูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาทต่อปี และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านเมล็ดพันธุ์ผักในระดับโลก (World Leader of Tropical Seed) ตามที่ได้ประกาศไว้ในที่ประชุม Asian Seed Congress 2022 ซึ่งเป้าหมายนี้จะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน ประสานการทำงาน ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง พร้อมกับการเติบโตของอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์อย่างยั่งยืน กรมวิชาการเกษตรยังได้ใช้นโยบายในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในแบบ “ตลาดนำการวิจัย” และ “ตลาดนำการผลิต” โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพและเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูงสำหรับเกษตรกร อีกหนึ่งของแผนการดำเนินงานของกรมวิชาการเกษตรคือ การผลักดันการรับรองห้องปฏิบัติการตรวจศัตรูพืชของบริษัทเอกชน ในการอำนว
ทุเรียนที่มีคุณภาพดีย่อมเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ กรมวิชาการเกษตร มีคำแนะนำให้เกษตรกรรักษาคุณภาพในการผลิตทุเรียนคุณภาพในฤดูกาลถัดไป 4 กิจกรรมใหญ่ๆ ที่จะบำรุงรักษาต้นทุเรียนให้ได้ผลผลิตที่ดี ในเขตพื้นที่ภาคตะวันออก ภายหลังการเก็บเกี่ยวทุเรียน ดังนี้ การเตรียมต้นให้พร้อมสำหรับการออกดอก (กรกฎาคม-ตุลาคม) แนะนำให้ มีการตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมทรงพุ่มและตัดกิ่งแห้งหรือเป็นโรคออก เพื่อทำให้ทรงพุ่มโปร่ง ใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน และให้แตกใบอ่อนอย่างน้อย 1 ชุด ควรมีการให้น้ำต้นทุเรียนเมื่อฝนทิ้งช่วงเกิน 7 วัน การป้องกันโรคและแมลงที่สำคัญ ได้แก่ โรคใบไหม้ โรคใบติด โรครากเน่าโคนเน่า เพลี้ยชนิดต่างๆ ไรแดง และหนอนเจาะลำต้นทุเรียน การจัดการเพื่อให้ทุเรียนออกดอกและติดผลดี (พฤศจิกายน-ธันวาคม) แนะนำให้เกษตรกรใส่ปุ๋ยเคมีทางดิน ก่อนสิ้นฤดูฝนประมาณ 1 เดือน งดการให้น้ำต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 10 วัน ทำให้ต้นทุเรียนเกิดสภาพเครียด เพื่อชักนำการออกดอก ควรมีการป้องกันโรคและแมลงที่สำคัญ เช่น โรคดอกเน่า เพลี้ยไฟและไรแดง ในช่วงก่อนดอกบาน 1 สัปดาห์ ให้น้ำเพียง 1 ใน 3 ของการให้น้ำปกต
ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมสถานีทดลองข้าวสันป่าตอง ได้ทอดพระเนตรแปลงทดลอง แล้วมีพระราชดำรัส ว่า “…ในอนาคต ข้าวไร่มีบทบาทมากเพราะไม่ต้องใช้น้ำมาก และอาศัยฝนตามธรรมชาติ” พระองค์ท่านทรงเห็นความสำคัญของการค้นคว้าวิจัยการทดลองพืชในสิ่งแวดล้อมแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชที่มีสภาพใกล้เคียงกับเขตตั้งถิ่นฐานของชาวไทยภูเขา ในปี พ.ศ. 2522 พระองค์ได้พระราชทานที่ดินของสถานีเกษตรหลวงสะเมิง ซึ่งตั้งบนที่สูงในอำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ให้อยู่ในความดูแลของกรมวิชาการเกษตร โดยมีวัตุประสงค์ในการศึกษาวิจัยการพัฒนาและส่งเสริมการปลูกข้าวไร่ ข้าวสาลี ข้าวบาเลย์ ข้าวโอ๊ต และพืชเมืองหนาวอื่นๆ โดยมีชื่อใหม่ว่า “สถานีทดลองข้าวไร่และธัญพืชเมืองหนาวสะเมิง” ต่อมาในปี พ.ศ. 2528 กรมวิชาการเกษตรได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้ง “สถานีทดลองข้าวไร่และธัญพืชเมืองหนาวปางมะผ้า” นายกฤษณะ ศิริรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวพัทลุง กล่าวว่าข้าวไร่อยู่คู่กับคนใต้มาตั้งแต่โบราณ เป็นวิถีที่คู
ในช่วงนี้มีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางพื้นที่ กรมวิชาการเกษตร แนะเกษตรกรผู้ปลูกเบญจมาศเฝ้าระวังการระบาดของโรคใบจุด สามารถพบได้ทุกระยะการเจริญเติบโตของเบญจมาศ อาการเริ่มแรกพบแผลจุดเล็กค่อนข้างกลมสีน้ำตาลเข้มบนใบ ต่อมาแผลขยายใหญ่ขึ้น บางครั้งขอบแผลมีสีเหลือง บริเวณแผลพบส่วนของเชื้อราเป็นจุดสีดำเล็กๆ เกิดกระจายทั่วแผล อาการของโรคมักเกิดกับใบล่างก่อน หากระบาดรุนแรง แผลจะลามขยายติดกัน ทำให้ใบไหม้ ร่วงหล่น และลุกลามถึงใบยอดจนใบไหม้ทั้งต้น นอกจากนี้ ให้เกษตรกรหมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ เมื่อพบโรคให้ตัดส่วนที่เป็นโรคและเก็บใบเป็นโรคที่ร่วงหล่นไปทำลายนอกแปลงปลูก หากโรคยังคงระบาดให้พ่นด้วยสารไดฟีโนโคนาโซล 25% อีซี อัตรา 10 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารโพรพิโคนาโซล 25% อีซี อัตรา 10 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือสารคลอโรทาโลนิล 50% เอสซี อัตรา 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร โดยพ่นทุก 7 วัน หลังจากหมดฤดูปลูกแล้ว เกษตรกรควรทำความสะอาดและกำจัดวัชพืชในแปลงปลูก โดยเก็บเศษซากพืชไปทำลายนอกแปลงปลูก จากนั้นตัดแต่งใบแก่ออก เพื่อให้ต้นโปร่งอากาศถ่ายเทสะดวก สำหรับแปลงที่เกิดโรคระบาด งดการให้น้ำแบบพ่นฝอ