คาร์บอนเครดิต
ธ.ก.ส. ร่วมกับกรมป่าไม้ เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ “BAAC Carbon Credit ป่าชุมชนและป่า เสื่อมโทรม” กว่า 4,000 ไร่ เพื่อฟื้นฟูรักษาระบบนิเวศในพื้นที่ป่าไม้ช่วยลดปัญหาโลกร้อน และมุ่งสู่เป้าหมายการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายใน ค.ศ. 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี ค.ศ. 2065 นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วย นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือขับเคลื่อนโครงการ BAAC Carbon Credit ป่าชุมชนและป่าเสื่อมโทรม ระหว่าง ธ.ก.ส. และกรมป่าไม้ เพื่อร่วมกันบำรุงรักษาและอนุรักษ์ป่าชุมชนและฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรม โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่ง ธ.ก.ส. จะสนับสนุนเกษตรกรและชุมชนในเรื่องการปลูก บำรุงรักษา ตามแนวทางหลักวิชาการป่าไม้ รวมถึงวิจัยติดตามการประเมินผลของโครงการที่ใช้เทคโนโลยีในการติดตามการเจริญเติบโตของป่า และส่งเสริมการได้รับสิทธิประโยชน์การแบ่งปันคาร์บอนเครดิต การดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตามหลักเกณฑ์และ
คาร์บอนเครดิต(Carbon Credit) คือนโยบายสำคัญของกรมป่าไม้ ในการส่งเสริมการดูแลรักษาป่าและการแก้ไขปัญหาโลกร้อนและที่สำคัญจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 หรือ Net Zero ให้ได้ภายในปี 2608 สำหรับคาร์บอนเครดิตคือปริมาณการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกซึ่งได้จากการดำเนินโครงการประเภทต่างๆ เช่น การปลูกป่าและการเพิ่มพื้นที่สีเขียว การส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น และจะต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐานจากเจ้าของมาตรฐาน มีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ที่สำคัญคาร์บอนเครดิต ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ คือ ใช้แลกเปลี่ยน ซื้อ-ขาย เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon offset) จากองค์กร บุคคล งานบริการ หรือจากการผลิต ผลิตภัณฑ์ต่างๆ นอกจากนี้ คาร์บอนเครดิตยังมีประโยชน์ในแง่ของการเป็นเครื่องมือสร้างจูงใจให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูป่า เป็นการช่วยภาครัฐเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี กรมป่าไม้ เผยวิธีกักเก็บ-คำนวณคาร์บอนเครดิตของต้นไม้ พร้อมเดินหน้าแนวทางต่อยอดโครงการ T-VER ชี้ได้รับประโยชน์จากการแบ่งปันคาร์บอนเ
นางอังคณา พุทธศรี ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 7 ชัยนาท (สศท.7) เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายส่งเสริมการจัดการทรัพยากรทางการเกษตร ทำการเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Go Green) ด้วย BCG ต่อ Carbon Credit จะต้องทำการเกษตรที่ลดภาระต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใส่ปุ๋ยที่เหมาะสม การลดการเผาซังข้าว ตอซัง การกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ถูกต้อง การลดปริมาณปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง และส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่ปลอดภัย รวมทั้งการแก้ปัญหา PM 2.5 การนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไปใช้ในการผลิตพลังงาน สศท.7 ได้ลงพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีพบว่า เศรษฐกิจการเกษตรอาสา (ศกอ.) ตำบลบ้านสวนแตง อำเภอเมืองสุพรรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี คือ นายพิชิต เกียรติสมพร ได้ทำการเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมโดยปรับเปลี่ยนวิธีการทำนาน้ำขังแบบเดิมเป็นการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ซึ่งช่วยลดก๊าซมีเทนในดิน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และยังสามารถสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งจากการสัมภาษณ์นายพิชิต บอกเล่าว่า ตนเองทำนาเปียกสลับแห้งบนพื้นที่ จำนวน 20 ไร่ จากนั้นได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาที่จัดโดยกรมการข้าว
นายเสกสรรค์ จันทร์ขวาง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายณรงค์ ขันติวิริยะกุล รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. นายเชษฐา แหล่ป้อง รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. และ นายโกเมนทร์ โคตรศรีวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส นำคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่จากบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด เยี่ยมชมและรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานโครงการด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมของ ธ.ก.ส. ภายใต้ “โครงการเปลี่ยนอากาศให้เป็นเงิน BAAC Carbon Credit” ณ ธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่ ตำบลบ้านกง อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นแห่งแรกที่มีการซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตไปแล้ว 400 ตันคาร์บอน โดย ธ.ก.ส. รับซื้อในราคากึ่ง CSR ตันละ 3,000 บาท คิดเป็น เงินรวม 1.2 ล้านบาท และตั้งเป้าเพิ่มปริมาณคาร์บอนเครดิตจากชุมชนออกสู่ตลาดอีกกว่า 1.5 แสนตันคาร์บอน ภายใน 7 ปี ทั้งนี้ ธ.ก.ส. เตรียมขยายผลไปยังชุมชนธนาคารต้นไม้อีกกว่า 6,800 ชุมชนทั่วประเทศ หนุนการปลูกป่าเพิ่มอีกปีละ 108,000 ต้น และวางเป้าหมายสร้างปริมาณการ ซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตอีกกว่า 510,000 ตันคาร์บอน ภายในปี 2571 ซึ่งโครงการดังกล่าวนอกจากช่วยสร้างรายได้กลับคืนสู่ผู้ปลูกต้นไม้แล้ว ยังเป็นก
การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตข้าวแก่เกษตรกรในพื้นที่ มีส่วนช่วยให้เกษตรกรสร้างผลผลิตได้จำนวนมากกว่าเดิม เหมือนดังที่ นายเฉลิมชาติ ฤาไชยคาม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยข้าวลพบุรี อธิบายว่า งานของศูนย์วิจัยข้าวลพบุรีมีด้วยกันหลายรูปแบบ ทั้งการผลิตเมล็ดพันธุ์ งานวิชาการและการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เกษตรกรในพื้นที่ ทั้งเรื่องการใช้น้ำในการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง รวมถึงเรื่องคาร์บอนเครดิต ที่นำไปถ่ายทอดให้กับพี่น้องเกษตรกร ซึ่งในส่วนของงานวิชาการนั้น ก็มีทั้งเรื่องการปรับปรุงพันธุ์ข้าว ที่ทำเกี่ยวกับเรื่องพันธุ์ข้าวนาน้ำฝน ข้าวนาชลประทาน และงานเกี่ยวกับเรื่อง “อารักขาพืช” ที่เจ้าหน้าที่กรมการข้าวจะลงพื้นที่ไปสำรวจโรค-แมลงในพื้นที่ที่ได้รับมอบหมาย ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในจังหวัดลพบุรี จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดสระบุรี ที่ศูนย์วิจัยข้าวลพบุรีแห่งนี้เป็นแปลงทดลองเกี่ยวกับเรื่องงานปรับปรุงพันธุ์ข้าว โดยนำพันธุ์ข้าวพันธุ์ต่างๆ มาทดสอบว่าข้าวเหล่านี้สามารถที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมของจังหวัดลพบุรีได้หรือไม่ เพราะเป็นพื้นที่ตัวแทนของข้าวนาน้ำฝน ซึ่งจะมีทั้งภาวะน้ำท่วมและฝนแล้ง พันธุ์ข้าวเหล่านี้จึงต้องผ่าน
เมื่อพูดถึง “คาร์บอนเครดิต” อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับหลายคน แต่ในความจริงแล้วมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาระดับนานาชาติ คาร์บอนเครดิตจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการลดโลกร้อน ทั้งนี้ “ก๊าซเรือนกระจก” นั้นไม่ได้มาจากภาคอุตสาหกรรม หรือขนส่งมวลชนเท่านั้น แต่ในกิจกรรมภาคการเกษตรอย่าง “การทำนาข้าว” ก็มีส่วนในการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน คุณพรพรรณ ยานะโส นักวิชาการเกษตรชำนาญการ ศูนย์วิจัยข้าวพระนครศรีอยุธยา จะมาอธิบายให้ฟังว่า การทำนานั้นเกี่ยวกับโลกร้อนได้อย่างไร? และรู้หรือไม่ว่า แค่เปลี่ยนวิธีการทำนาก็ช่วยลดโลกร้อนได้ ทั้งยังสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการทำนาให้ดีขึ้นอีกด้วย “คาร์บอนเครดิต” คืออะไร? เกี่ยวข้องกับ “การทำนา” อย่างไร? คุณพรพรรณ อธิบายในทางหลักการว่า “คาร์บอนเครดิต” หมายถึง สิทธิที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคล-องค์กรสามารถลดหรือกักเก็บการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม โดยสิทธินี้สามารถวัดปริมาณและนำไปซื้อขายในตลาดคาร์บอนเครดิตได้ ซึ่งชนิด
วันนี้ (21 สิงหาคม 2567) การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จัดประชุมสัมมนาสร้างการรับรู้การดำเนินงานด้านคาร์บอนเครดิตของการยางแห่งประเทศไทย โดย นายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย มอบหมาย นายจิรวิทย์ มีชูภัณฑ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาการผลิต เป็นประธานในพิธีเปิด ณ กยท. จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมมอบใบประกาศเกียรติคุณชาวสวนยาง การันตีพื้นที่สวนยางที่ร่วมโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตของ กยท. ปีงบประมาณ 2566 สามารถสะสมปริมาณคาร์บอนเครเครดิตและซื้อขายได้จริง มุ่งยกระดับการทำอาชีพสวนยางอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนาพื้นที่สวนยางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งเป้าหมายพื้นที่สวนยาง 20 ล้านไร่ทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ ภายในปี 2593 นายจิรวิทย์ กล่าวว่า ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้ความสำคัญในเรื่องการขับเคลื่อนภารกิจเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ กยท. จึงมุ่งมั่นส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจตามแบบฉบับ BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ที่คำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยการดำเนินโครงการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตของ กยท. เนื่องจากต้นยางพาราเ
นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่าภายในเดือนกันยายน 2567 คาดว่าจะได้โมเดลการซื้อขายคาร์บอนเครดิตมันสำปะหลัง เป็นพืชตัวแรกของพืชเศรษฐกิจนำร่อง 6 ชนิดและภายในปี 67 นี้จะครบทั้งหมดเพื่อใช้ขยายผลให้เกษตรกร สถาบันเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนหรือหน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมโครงการขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทยT-VER ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(องค์การมหาชน) หรือ อบก. ปัจจุบันกรมได้เตรียมหน่วยงานตรวจรับรองคาร์บอนเครดิตภาคการเกษตร(CB) ซึ่งใกล้จะได้รับการรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม( สมอ.) และได้อบรมเจ้าหน้าที่เป็นผู้ตรวจประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจ(VVB) ตามหลักสูตรของอบก.จำนวน 31 รายรวมถึงการจัดตั้งหน่วยงานกองวิจัยพัฒนาพืชเศรษฐกิจใหม่และการจัดการก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคเกษตร เพื่อให้บริการต่อประชาชนซึ่งเป็นไปตามแผนงานและนโยบายของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “กรมอยู่ระหว่างทำเส้นฐานคาร์บอนเครดิตของพืชเศรษฐกิจหลักระดับประเทศ (National Carbon Credit Baseline)เป็นฐานคำนวณปริมาณคาร์บอนเครดิตเพื่อใช้คิดค่าตอบแทนกา
ธ.ก.ส. จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พร้อมสร้างศูนย์บ่มเพาะถ่ายทอดองค์ความรู้ในการขยายฐานธนาคารต้นไม้ไปสู่การเข้าร่วมโครงการ BAAC Carbon Credit ตอบโจทย์เป้าหมายการไปสู่ Carbon Neutrality ของประเทศ หนุนชุมชน วัด โรงเรียนในการดูแลและเพิ่มพื้นที่สีเขียว ควบคู่การสร้างวินัยการออมให้แก่นักเรียนในโรงเรียนธนาคาร (เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2567) นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมกับโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 47 และชุมชนเครือข่ายธนาคารต้นไม้ ธ.ก.ส. จังหวัดเพชรบุรี จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว ตามแนวทางพระราชดำริ “ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมถ่ายทอดความรู้เพื่อปลูกฝังวินัยการออมเงินแก่นักเรียนในโรงเรียนธนาคาร พร้อมจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะความรู้ขึ้นในโรงเรียน เพื่อสนับสนุนการวางรากฐานให้แก่นักเรียนและผู้ที่สนใจใ
“โฆษกเกษตรเผย ก.เกษตรฯ เอาจริง ดันราคายางพาราดีขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดทะลุ 90 บาท สูงสุดในรอบ 85 เดือน เดินหน้าตามนโยบายรัฐบาลเศรษฐาฯ “ธรรมนัส “คุมเข้มผลักดันขายคาร์บอนเครดิตในสวนยางไทย เพิ่มรายได้ชาวสวนยาง กว่า 2.4 หมื่นล้านบาท” นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคายางพาราในปัจจุบันดีดตัวขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ราคายางที่ซื้อขายผ่านสำนักงานตลาดกลางยางพารา ของ กยท. พุ่งทะลุ 90 บาทไปแล้ว ซึ่งราคาซื้อขายยางแผ่นรมควัน อยู่ที่ 90.09 บาทต่อกิโลกรัม ถือเป็นราคาสูงที่สุดในรอบ 85 เดือน (7 ปี 1 เดือน) โดยปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและคาดว่าจะยังคงอยู่ในทิศทางแนวโน้มขาขึ้นต่อไป ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำชับสั่งการให้ นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย มุ่งดำเนินงานสนับสนุนให้เกิดการสร้างรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพารา นอกเหนือจากการผลิตยางธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ไม้ยางพารา โดยสร้างแหล่งรายได้ให้กับเกษตรกร ผ่านกระบวนการซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต เพื่อยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของเกษตรก