ชุมพร
หากเอ่ยชื่อ “กล้วยหอมทอง” ถือเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่ออีกชนิดหนึ่งของจังหวัดชุมพร และเป็นกล้วยที่มีศักยภาพในการส่งออกมากที่สุดเมื่อเทียบกับกล้วยอื่นๆ เพราะมีรสชาติดี กลิ่นหอม เปลือกบาง ไม่เหนียวเกินไป สีผิวของกล้วยเมื่อสุกจะเป็นสีเหลืองทอง แต่ละผลเรียงกันอยู่ในหวีสวยงาม ทำให้เป็นที่นิยมของผู้บริโภค ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ จึงมีแนวโน้มความต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น พื้นที่ปลูกกล้วยหอมทองที่สำคัญของไทย ได้แก่ จังหวัดชุมพร ปทุมธานี เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี สระบุรี และหนองคาย ส่วนคู่ค้าที่สำคัญของไทยคือ ญี่ปุ่น จีน ลาว โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีความต้องการสูงมาก “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่กล้วยหอมทองตำบลถ้ำสิงห์” ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 3 บ้านควนจำปา ตำบลถ้ำสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร เป็นกลุ่มเกษตรกรที่มีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นของสมาชิกจำนวน 53 ราย ภายใต้การนำของ นายปรีชา เสนแก้ว อายุ 42 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 ตำบลถ้ำสิงห์ ที่ทำหน้าที่ประธานกลุ่มด้วย โดยนายปรีชาให้ข้อมูลว่า เมื่อปี 2553 สมัยที่ นายการัณย์ ศุภกิจวิเลขการ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ได้อนุมัติงบพัฒนาจัง
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยวิทยาลัยการอาชีพหลังสวน จังหวัดชุมพร และสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ ร่วมเปิดศูนย์การเรียนรู้โดรนเพื่อการเกษตรต้นแบบแห่งแรก ณ จังหวัดชุมพร โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมนี้ นายประสิทธิ์ วัชรินทร์พร ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพหลังสวน นายจีรศักดิ์ แสงหอย นายอำเภอหลังสวน และ นายพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ พร้อมด้วยคณาจารย์และนักศึกษาของวิทยาลัยการอาชีพหลังสวนให้การต้อนรับ ณ วิทยาลัยการอาชีพหลังสวน จังหวัดชุมพร ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ได้สนับสนุนการนำเทคโนโลยีโดรนเพื่อการเกษตร มาใช้ยกระดับประสิทธิภาพภาคการเกษตรในพื้นที่จังหวัดชุมพร โดยใช้กลไกการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้โดรนเพื่อการเกษตร เป็นต้นแบบ ณ วิทยาลัยการอาชีพหลังสวน จังหวัดชุมพร ซึ่งการดำเนินงานในครั้งนี้ วช. ได้สนับสนุนให้มีการดำเนินงานร่วมกันระหว่างสมาคมกีฬาเครื่องบิน
หากเอ่ยชื่อ “กลุ่มหม่อนไหมบ้านป่ากล้วย” ชาวชุมพรหลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อว่าเป็นวิสาหกิจชุมชนซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ย้ายภูมิลำเนาจากภาคอีสานเข้ามาตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่ตำบลนาสัก อำเภอสวี จังหวัดชุมพร และยังเป็นวิสาหกิจชุมชนที่มีชื่อเสียงโด่งดังเกี่ยวกับการทอผ้าไหม จนได้รับรางวัลต่างๆ มาแล้วมากมาย วิสาหกิจกลุ่มหม่อนไหมบ้านป่ากล้วย ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านป่ากล้วย หมู่ที่ 12 ตำบลนาสัก อำเภอสวี จังหวัดชุมพร ห่างจากถนนสายเอเชีย 41 บริเวณสามแยกเขาปีบ อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร ประมาณ 13 กิโลเมตร คุณอนัน รามพันธุ์ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดชุมพร พร้อมด้วย คุณสุรินทร์ เหล่าพัทรเกษม ประธานศูนย์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ (CSR) จังหวัดชุมพร คุณทวีลาภ การะเกด ที่ปรึกษาผู้ตรวจราชการภาคประชาชนด้านสังคม (ทปษ.) จังหวัดชุมพร พร้อมทีมงาน ร่วมกันลงพื้นที่ดังกล่าว เพื่อเยี่ยมชมการทอผ้าไหมของกลุ่มหม่อนไหมบ้านป่ากล้วย โดยได้พบกับ คุณนิตยา ภิญโย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 12 บ้านป่ากล้วย ตำบลนาสัก คุณทองดี ศิริ ประธานวิสาหกิจกลุ่มหม่อนไหมบ้านป่ากล้วย และสมาชิกกลุ่มที่ร่วมกันให้การต้อนรับ คุณทอ
“ปลาหมอ” เป็นปลาน้ำจืดพื้นบ้าน ที่ชาวไทยนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลายในทุกระดับสังคมและทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ อีกทั้งยังเป็นปลาที่มีความทนทานสูง เพราะมีอวัยวะพิเศษที่ช่วยในการหายใจ จึงสามารถอาศัยอยู่ได้ในบริเวณที่มีน้ำน้อย หรือพื้นที่ชุ่มชื้นเป็นเวลานานๆ จึงง่ายต่อการขนส่งในระยะไกลๆ และจำหน่ายในรูปปลาสดมีชีวิตได้ ทั้งในตลาดภายในและต่างประเทศ ในอดีตที่ผ่านมา ผลผลิตปลาหมอจัดอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับผลผลิตสัตว์น้ำจืดของประเทศ ซึ่งผลผลิตปลาหมอรองลงมาจากปลาช่อน ปลาดุก และปลาสวาย แต่ปัจจุบันผลผลิตปลาหมอเริ่มลดลง จากข้อมูลของกรมประมง เมื่อปี 2551 มีผลผลิตปลาหมอทั้งประเทศเพียง 12,900 ตัน ต่อปี คิดเป็นมูลค่า 535.6 ล้านบาท โดยบริโภคในรูปปลาสด 69.92 เปอร์เซ็นต์ ปลาร้า 22.86 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลืออีก 7.22 เปอร์เซ็นต์ ทำเป็นปลาเค็มตากแห้ง รมควัน และอื่นๆ ที่สำคัญคือ ปลาหมอในปัจจุบันมีขนาดเล็กกว่าในอดีตมาก ปัจจุบัน มีผู้สนใจเลี้ยงปลาหมอกันเป็นจำนวนมาก เพราะสามารถเลี้ยงและเจริญเติบโตในอัตราความหนาแน่นสูง ทนทานต่อสภาวะที่คุณสมบัติของดินและน้ำที่แปรปรวน ซึ่งนิยมเลี้ยงในรูปแบบต่างๆ ทั้งบ่อดิน บ่อ
นายนิกร แสงเกตุ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 8 สุราษฎร์ธานี (สศท.8) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันจังหวัดชุมพรนับเป็นแหล่งผลิตกาแฟพันธุ์โรบัสต้า อันดับ 1 ของประเทศไทย ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ณ เดือนตุลาคม 2564 มีพื้นที่ปลูกทั้งหมด 81,929 ไร่ ให้ผลผลิตรวมทั้งจังหวัด 8,322 ตัน/ปี เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกแซม หรือผสมผสานในสวนผลไม้ เนื่องจากกาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าให้กับจังหวัดปีละ 573.71 ล้านบาท กาแฟพันธุ์โรบัสต้าที่ได้รับความนิยมของจังหวัดชุมพรมีหลายกลุ่ม เช่น กาแฟเขาทะลุ เอสที กาแฟชุมพร และกาแฟถ้ำสิงห์ชุมพร สำหรับกาแฟถ้ำสิงห์ชุมพรของกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ตำบลถ้ำสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ซึ่งมีจุดเด่นเฉพาะ พื้นที่ปลูกเป็นพื้นที่ราบเชิงเขาหินปูนระดับความสูง 85-120 เมตร จากระดับน้ำทะเล สามารถนำกาแฟผลสดมาบ่มแล้วคัดด้วยกรรมวิธีเฉพาะที่มีมาตรฐานเป็นกาแฟสาร และแปรรูปเป็นกาแฟคั่ว กาแฟคั่วบด มีรสชาติเข้มกลมกล่อม มีกลิ่นหอม ซึ่งนอกจากจุดเด่นด้านรสชาติแล้ว กาแฟถ้ำสิงห์ชุมพรยังได้รับการ ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indica
ปัญหายางพารามีราคาตกต่ำ ถือเป็นปัญหาอภิมหาอมตะที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยยังไม่เคยแก้ไขได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ คงเป็นเฉพาะในปัจจุบันพื้นที่ปลูกยางพารามีมากขึ้น ไม่ได้ปลูกเพราะในภาคใต้เท่านั้นเหมือนในอดีต การรวมกลุ่มกันของเกษตรกรผู้ปลูกสวนยางพาราจึงถือเป็นความจำเป็น โดยมีการยางแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คอยกำกับดูแลและเป็นพี่เลี้ยง เมื่อเร็วๆ นี้ ที่สหกรณ์กองทุนสวนยางสมบูรณ์พัฒนา จำกัด เลขที่ 108/1 หมู่ที่ 3 ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร คุณชมพูนุช รักษาวัย ประธานกรรมการสหกรณ์กองทุนสวนยางสมบูรณ์พัฒนา จำกัด พร้อมด้วย คุณวิทยา สุวรรณประสิทธิ์ ปลัดอาวุโส ผู้แทนนายอำเภอปะทิว คุณโกญจนาท มายะการ สหกรณ์จังหวัดชุมพร คุณศุภเมธ พรหมวิเศษ ผู้อำนวยการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จังหวัดชุมพร คุณประเทือง สุขปัน ผู้แทนเกษตรจังหวัดชุมพร และ คุณลีรวัตร ไชยชนะ ผู้แทนผู้อำนวยการทางหลวงชนบทจังหวัดชุมพร ร่วมกันแถลงข่าวความสำเร็จในการทำเสาหลักนำทางจากยางพารา (Rubber Guide Post)…สรุปได้ว่า สืบเนื่องจากกระทรวงคมนาคม ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOU) กับกระทรวงเกษตรและสห
เมื่อเร็วๆ นี้ นายวริช วิชิต รองผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงาน ชุมพร-ระนอง ได้รับมอบหมายจาก นางวิริยา แก่นแก้ว ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงาน ชุมพร-ระนอง ให้นำสื่อมวลชนสำรวจเส้นทางเพื่อผลักดันการท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agro-Tourism) ด้วยการเดินทางไปเยี่ยมชมสวนทุเรียนปลอดสารพิษพันธุ์หมอนทอง พื้นที่ หมู่ที่ 1 ต.ในวงเหนือ อ.ละอุ่น จ.ระนอง ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่าง อ.ละอุ่น จ.ระนอง กับ ต.เขาทะลุ อ.สวี จ.ชุมพร และพื้นที่บ้านควนสามัคคี หมู่ที่ 13 ต.ครน อ.สวี จ.ชุมพร ได้พบ นางจารึก ขนอม อายุ 63 ปี เจ้าของสวนทุเรียนปลอดสารพิษพันธุ์หมอนทอง 40 ไร่ เล่าให้ฟังว่า เดิมเป็นชาว จ.นครศรีธรรมราช และย้ายมาอยู่ใน ต.ในวงเหนือ เมื่ออายุ 22 ปี เริ่มแรกทำสวนกาแฟก่อนหันมาปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทอง ประมาณ 30 ปีแล้ว ตอนนี้มีทุเรียนอยู่ 200 ต้น ให้ผลผลิตปีละประมาณ 40 ตัน มีรายได้ปีละประมาณ 2 ล้านบาท ทั้งนี้ ในระยะแรกที่ปลูกทุเรียนใช้ปุ๋ยเคมีกับสวนทุเรียนมา 20 กว่าปี มีผลกระทบมากมาย เช่น ราคาปุ๋ยค่อนข้างสูง ระยะแรกแม้จะให้ผลผลิตดี แต่ดินเริ่มเสีย ทำให้ต้นทุเรียนทยอยตายลง ส่วนสุขภาพได้รับผลกระทบ รู้สึกเวี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีชาวสวนทุเรียน ผู้ประกอบการจุดรวบรวมทุเรียน (ล้ง) เพื่อการส่งออก และเจ้าของแผงจำหน่ายทุเรียนใน อ.หลังสวน จ.ชุมพร ร่วมกันเรียกร้องให้จังหวัดชุมพรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหามาตรการป้องกันและแก้ปัญหาทุเรียนอ่อนที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของทุเรียนชุมพร ทำให้นายณรงค์ พลละเอียด ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายไพสิฐ เกตุสถิตย์ เกษตรจังหวัดชุมพร นายประสพชัย พูลเกิด พาณิชย์จังหวัดชุมพร เรืออากาศตรี โสภณ ภู่ขันเงิน นายอำเภอหลังสวน และ พ.ต.อ.นิรันดร์ กันจู ผกก.สภ.หลังสวน ต้องลงพื้นที่ตรวจสอบที่ตลาดมรกต อ.หลังสวน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกทุเรียนรายใหญ่ของภาคใต้ พร้อมเชิญผู้ประกอบการเกี่ยวกับการซื้อ-ขายทุเรียน และชาวสวนทุเรียนมาพบปะพูดคุยเพื่อรับทราบปัญหา ต่อมานายณรงค์มีคำสั่ง 2 ข้อคือ 1. ขอให้อำเภอร่วมกับเกษตรอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ออกตรวจสอบสวนของเกษตรกรอยู่เสมอ และช่วยกันประชาสัมพันธ์รณรงค์ ไม่ซื้อ ไม่ขาย ทุเรียนอ่อน และ 2. ขอให้จัดเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจ (ชุด ฉก.) ออกตรวจสอบล้งทุเรียน สุ่มตรวจแผงจำหน่ายทุเรียนข้างทาง รวมทั้งตั้งด่านตรวจรถบรรทุกที่อาจนำทุเรียนอ่อนเข้ามาจำหน่ายในช่
ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่่ผ่านมา “พล.อ.ดนัย มีชูเวท” ประธานคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (ปธ.กมธ.กษ.สนช.) นำคณะลงพื้นที่ จังหวัดชุมพร หนึ่งในโปรแกรมการเดินทาง คือ การเข้าเยี่ยมชมกิจการของ “วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์” ที่ ตำบลถ้ำสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร โดยมี “พล.ต. กลชัย สุวรรณบูรณ์” สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) “เลิศพรไชย ไชยฤทธิ์” รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้การต้อนรับ และ “ณปพน พรหมมณี” ผู้จัดการวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์ กล่าวบรรยายสรุป ก่อนนำคณะเข้าชมขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่สวนกาแฟ โรงคั่วบดกาแฟ และโรงอบเมล็ดกาแฟด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์ พล.อ. ดนัย กล่าวว่า นำคณะ กมธ.กษ.สนช.มาศึกษาดูงานการผลิตกาแฟชุมพรที่วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์ ทำให้ทราบว่ากาแฟพันธุ์โรบัสต้าของชุมพรถือเป็นสมบัติล้ำค่าและเป็นเสน่ห์ของท้องถิ่น ซึ่งนอกจากปลูกกาแฟแล้วยังมีการปลูกผลไม้ชนิดอื่นๆ เช่น ทุเรียน รวมอยู่ในสวนกาแฟในลักษณะของสวนผสมด้วย ส่วนรสชาติของกาแฟชุมพรถือว่ามีรสชาติที่สามารถพั
กระทรวงพลังงานหนุนงบประมาณ 6.8 แสน สร้างโรงอบแห้งกาแฟพลังงานแสงอาทิตย์ เผยวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์ชุมพรสร้างรายได้ปีละ 60 ล้านบาท เตรียมต่อยอดเป็นศูนย์เรียนรู้พลังงานชุมชน นายทองรัตน์ วรรณนุช พลังงานจังหวัดชุมพร กล่าวภายหลังเข้าเยี่ยมชมกิจการของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์ ต.ถ้ำสิงห์ อ.เมือง จ.ชุมพร ว่ากระทรวงพลังงานและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟถ้ำสิงห์ ได้ร่วมกันประยุกต์ใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดต้นทุนการผลิตและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ สร้างความแตกต่างให้สินค้าของกลุ่มจากสินค้าประเภทเดียวกัน ได้รับการยอมรับทั้งเรื่องคุณภาพมาตรฐานของสินค้า และการเป็นต้นแบบวิสาหกิจลดใช้พลังงานยอดเยี่ยม จนทำให้ได้รับรางวัล “สุดยอดคนพลังงาน” ทั้งในระดับจังหวัด ระดับภาค และระดับประเทศ ในสาขาวิสาหกิจลดใช้พลังงานยอดเยี่ยม ทั้งนี้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงานได้ให้การสนับสนุนโรงพบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบ green house จำนวน 2 โรง ในรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและชุมชน ภายใต้งบประมาณ 680,000 บาท โดยกระทรวงพลังงานสนับสนุนงบประมาณ 476,000 บาท หรือคิดเป็น 70% ของมูลค่าโครงการ ส่วนกลุ่มว