บัว
ในวัฒนธรรมการทำอาหารของไทย “บัว” เป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการและสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแกง ต้ม ผัด หรือทานสด แต่สิ่งที่หลายคนมักสงสัยคือ “ไหลบัว” และ “สายบัว” สองส่วนที่นิยมของต้นบัวนั้นแตกต่างกันอย่างไร มาดูรายละเอียดกันเลย ก่อนอื่นจะพาทุกคนไปรู้จัก “บัว” ที่เรานำมาทานจะมีอยู่ 2 สีด้วยกัน โดยสีของไหลบัวจะเป็นสีขาว ไหลบัวที่เรานิยมนำมากินนั้นเป็น “บัวหลวง” หรือ “บัวบูชาพระ” จะมีด้วยกันสองสีคือสีขาว และ สีชมพู ซึ่งการเลือกเก็บไหลบัวนั้นจะนิยมใช้บัวสีชมพู เพราะมียางน้อยกว่า ส่วนบัวสีขาวมียางมาก จะให้รสชาติที่ขมจึงไม่นิยมบริโภค การเก็บสายบัวจะต้องเลือกเก็บจากต้นอ่อนของบัวหลวง ซึ่งสังเกตจากใบที่มีลักษณะยังม้วนอยู่ ไหลบัวจะอยู่ในดินหรือใต้โคลน เวลาเก็บใช้วิธีการงมแล้วใช้มือบีบบริเวณโคนรากของบัว แล้วเด็ดออกมา ข้อสำคัญระหว่างที่เด็ดมานั้นต้องบีบตลอดจนกว่าจะพ้นน้ำ เพราะในไหลบัวนั้นเป็นสุญญากาศ หากไม่บีบไว้ น้ำโคลนหรือสิ่งสกปรกจะเข้าไปได้ เมื่อพ้นน้ำแล้วก็ปล่อยได้ตามปกติ เพราะอากาศจะเข้าไปแทนที่ทำให้น้ำไม่สามารถเข้าไปได้ สา
ปัจจุบัน บัวที่นิยมปลูกกันในกระถางมักเป็นบัวลูกผสม เพราะออกดอกง่าย มีหลากสี ต้นมีขนาดกะทัดรัด การจะปลูกบัวให้สวยงามนั้น ต้องได้รับแสงแดดอย่างน้อย วันละ 6 ชั่วโมง การปลูกบัวในกระถางไว้ประดับหน้าบ้าน ควรเลือกกระถางเคลือบที่มีขนาดพอเหมาะสวยงาม จากนั้นหากะละมังพลาสติกสีเข้ม อาจเป็นสีดำ หรือน้ำตาลเข้ม ให้มีขนาดที่วางลงในกระถางเคลือบได้พอดี ใส่ดินเหนียวที่สะอาดลงในกะละมังให้เกือบเต็มกะละมัง ถ้านำดินจากริมบ่อข้างบ้านหรือที่อื่น ให้นำดินมาตากแดดจนแห้งเพื่อฆ่าเชื้อโรค และศัตรูอื่นๆ ที่ติดมา เมื่อแห้งแล้วทุบให้แตกใส่ลงในกะละมัง เติมน้ำสะอาดให้ดินละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วปลูกบัวทั้งกอลงกลางกะละมัง ระยะแรกต้องพลางแสงให้ เมื่อตั้งตั้วได้หรือรากเริ่มเดิน จึงใส่ปุ๋ยบำรุงต้น สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ใช้แทนกันได้ ตักปุ๋ยขึ้นมาขนาดเท่าหัวแม่มือ ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ตัดให้มีขนาดเท่าฝ่ามือ รอง 2 ชั้น แล้วรวบขอบเข้าหากันบิดม้วนเหมือนห่อท็อฟฟี่ใส่ลงในดินปลูกห่างจากเหง้า 1 ฝ่ามือ ลึกลงไป 10-15 เซนติเมตร 3 เม็ด 3 ทิศทาง หากเกรงว่าเม็ดท็อฟฟี่จะแตกให้ใช้นิ้วมือหรือวัสดุอื่นขนาดใกล้เคียงกัน หยั่งลงดินเ
บัว ถือเป็นพืชที่น่าสนใจเพราะประโยชน์หลากหลายใช้ได้ทุกส่วนจริงๆ แล้วยังมีคุณสมบัติที่สามารถใช้เพื่อการบำรุงความงามได้ด้วย บัวมีรสฝาด ขม หวาน มีคุณสมบัติเย็นเกือบทุกส่วน ใช้แก้ไข ร้อนใน กระหายน้ำ ขับปัสสาวะ หากแยกเป็นส่วนๆ จะพบว่า ลำต้นหรือสายบัว มีรสฝาด เย็น มีกลิ่นหอม ขับปัสสาวะ และขับพยาธิ แก้อาการปัสสาวะขัด ราก มีรสขม เย็น แก้ไข ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ เจ็บหน้าอก ควบคุมการหลั่งน้ำอสุจิไม่ได้ (spermatorrhoea) ดอกบัว มีรสหวาน ฝาด เย็น และบำรุงหัวใจ ใช้แก้ท้องเสีย ไข้ แก้โรคตับ แก้ช้ำใน หลอดลมอักเสบ ไอ แผลพุพองตามผิวหนัง ช่วยให้นอนหลับ ผลและเมล็ด รสขม ฝาด หวาน เย็น บำรุงร่างกาย ฟอกเลือด และบำรุงกำหนัด ใช้แก้อาการกระหายน้ำอย่างรุนแรง แก้โรคผิวหนัง ปาก (ลมหายใจ) มีกลิ่น ประจำเดือนมามากเกินไป ตกขาว ไข้ ใบบัว มีรสขม เย็น แก้ปัสสาวะขัด ริดสีดวงทวาร และโรคผิวหนังกำเริบ เกสรบัว มีรสฝาด เย็น บำรุงหัวใจ ใช้แก้ท้องเสีย ริดสีดวงทวาร แก้อาการอักเสบ ร้อนใน (แผลในปาก) และประจำเดือนมามากเกินไป อีกส่วนของบัวคือ ไหลบัว เปรียบเสมือนหน่อของบัว มีคุณสมบัติคล้ายกับหน่อไม้คือ มีคุณสมบัติร้อน เพราะเป
ภญ.วัจนา ตั้งความเพียร เขียนไว้ในคอลัมน์ คนงามเพราะแต่ง อภัยภูเบศรสาร โดยระบุว่า บัว มีประโยชน์หลากหลายใช้ได้ทุกส่วน และมีคุณสมบัติที่สามารถใช้เพื่อการบำรุงความงามได้ด้วย บัว มีรสฝาด ขม หวาน มีคุณสมบัติเย็นเกือบทุกส่วน ใช้แก้ไข้ ร้อนใน กระหายน้ำ ขับปัสสาวะ หากแยกเป็นส่วนๆ จะพบว่า ลำต้นหรือสายบัว มีรสฝาด เย็น มีกลิ่นหอม ขับปัสสาวะ และขับพยาธิ แก้อาการปัสสาวะขัด ราก มีรสขม เย็น แก้ไข ร้อนใน กระหายน้ำช่วยขับปัสสาวะ เจ็บหน้าอก ควบคุมการหลั่งน้ำอสุจิไม่ได้ ด่างขาว ดอกบัว มีรสหวาน ฝาด เย็น และบำรุงหัวใจ ใช้แก้ท้องเสีย ไข้ แก้โรคตับ แก้ช้ำใน หลอดลมอักเสบ ไอ แผลพุพองตามผิวหนัง ช่วยให้นอนหลับ ผลและเมล็ด รสขม ฝาด หวาน เย็น บำรุงร่างกาย ฟอกเลือด และบำรุงกำหนัด ใช้แก้อาการกระหายน้ำอย่างรุนแรง แก้โรคผิวหนัง ปาก ลมหายใจมีกลิ่น ประจำเดือนมามากเกินไป ตกขาว ไข้ ใบบัว มีรสขม เย็น แก้ปัสสาวะขัด ริดสีดวงทวาร และโรคผิวหนังกำเริบ เกสรดอกบัวมีรสฝาด เย็น บำรุงหัวใจ ใช้แก้ท้องเสีย ริดสีดวงทวาร แก้อาการอักเสบร้อนใน (แผลในปาก) และประจำเดือนมามากเกินไป อีกส่วนของบัวคือ ไหลบัว เปรียบเสมือนหน่อของบัว มีคุณสมบัติคล้
บัว ถือเป็นพืชที่น่าสนใจ เพราะประโยชน์หลากหลายใช้ได้ทุกส่วนจริงๆ แล้วยังมีคุณสมบัติที่สามารถใช้เพื่อการบำรุงความงามได้ด้วย บัว มีรสฝาด ขม หวาน มีคุณสมบัติเย็นเกือบทุกส่วน ใช้แก้ไข ร้อนใน กระหายน้ำ ขับปัสสาวะ หากแยกเป็นส่วนๆ จะพบว่า ลำต้นหรือสายบัว มีรสฝาด เย็น มีกลิ่นหอม ขับปัสสาวะ และขับพยาธิ แก้อาการปัสสาวะขัด ราก มีรสขม เย็น แก้ไข ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ เจ็บหน้าอก ควบคุมการหลั่งน้ำอสุจิได้ (spermatorrhoea) ดอกบัว มีรสหวาน ฝาด เย็น และบำรุงหัวใจ ใช้แก้ท้องเสีย ไข้ แก้โรคตับ แก้ช้ำใน หลอดลมอักเสบ ไอ แผลพุพองตามผิวหนัง ช่วยให้นอนหลับ ผลและเมล็ด รสขม ฝาด หวาน เย็น บำรุงร่างกาย ฟอกเลือด และบำรุงกำหนัด ใช้แก้อาการกระหายน้ำอย่างรุนแรง แก้โรคผิวหนัง ปาก (ลมหายใจ) มีกลิ่น ประจำเดือนมามากเกินไป ตกขาว ไข้ ใบบัว มีรสขม เย็น แก้ปัสสาวะขัด ริดสีดวงทวาร และโรคผิวหนังกำเริบ เกสรบัว มีรสฝาด เย็น บำรุงหัวใจ ใช้แก้ท้องเสีย ริดสีดวงทวาร แก้อาการอักเสบ ร้อนใน (แผลในปาก) และประจำเดือนมามากเกินไป อีกส่วนของบัวคือ ไหลบัว เปรียบเสมือนหน่อของบัว มีคุณสมบัติคล้ายกับหน่อไม้คือ มีคุณสมบัติร้อน เพราะเป็
หลายคนชื่นชอบการปลูกบัวประดับ แต่หลังจากซื้อบัวประดับจากร้านค้ากลับมาเลี้ยงที่บ้านต้นบัวประดับให้ดอกสวยงามแค่เพียงระยะแรก หลังจากเลี้ยงไปได้ 3 เดือน ดอกเริ่มเล็กลง และไม่ค่อยมีดอกแถมต้นทรุดโทรมลงอีกต่างหาก หากใครเจอปัญหาแบบนี้ ไม่ต้องกังวล “ เทคโนโลยีชาวบ้าน ” มีเทคนิควิธีดูแลบัวประดับอย่างถูกวิธี ที่จะช่วยให้บัวประดับของท่านมีดอกสวยงามเหมือนเดิม บัวไทยมี 3 สกุล ก่อนอื่นอยากแนะนำให้รู้จักสกุลบัวที่ปลูกอยู่ในประเทศไทยว่า มีอยู่ 3 สกุล คือ สกุลบัวหลวงหรือปทุมชาติ สกุลบัวสาย หรือ อุบลชาติ และ สกุลวิกตอเรีย หรือ บัวกระด้ง 1.สกุลบัวหลวงนิยมเรียกชื่อว่า ปทุมชาติ หรือ บัวหลวง มีถิ่นกำเนิดอยู่ใน จีน อินเดีย และประเทศไทย บัวเป็นพืชที่มีต้นใต้ดิน หรือเหง้า และมีไหลเมื่อวัยอ่อน มีลักษณะเรียวยาว เลื้อยไปใต้พื้นดินเล็กน้อย เมื่อโตเต็มที่จะอวบอ้วน เพราะมีการสะสมอาหารเอาไว้ ต่อมาพัฒนาเป็นข้อปล้อง ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของต้นอ่อนและราก เมื่อเติบโตขึ้นจะยืดตัวส่งใบและดอกโผล่ขึ้นเหนือน้ำ ก้านใบและก้านดอกมีหนาม ดอกเป็นชนิดดอกเดี่ยว รูปทรงมีทั้งป้อมและแหลม ดอกจะบานในเวลากลางวัน กลิ่นหอมมีกลีบเลี้ยง 4-6 กล
บัว เป็นพืชประเภทล้มลุกมีหัวอยู่ในดิน การเจริญเติบโตชูใบและดอกขึ้นมาบนผิวน้ำ ใบมีลักษณะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ ดอกเป็นกลีบที่เรียงซ้อนกันหลายชั้น แต่ละสายพันธุ์มีขนาดและสีสันของดอกเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกัน มีความสวยงดงาม สมดังที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชินีแห่งไม้น้ำ” บัว นับว่ามีความสำคัญกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน จะเห็นได้จากศิลปะแขนงต่างๆ ก็จะนำบัวเข้ามาร่วมกับวิถีชีวิตประจำวัน เช่น พิธีกรรมทางศาสนา การนำใบบัวมาห่ออาหาร ตลอดจนเป็นอาหารและสมุนไพรเพื่อเป็นยา นอกจากนี้ บัวบางชนิดมีความสวยงามโดดเด่น จึงได้ถูกนำมาปลูกเลี้ยงเพื่อประดับตกแต่งบ้าน ทำให้บัวเป็นที่ต้องการของตลาดหลากหลายกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างมาก คุณอิทธิพล ทากูล เจ้าของสวนบัวฟ้า ตั้งอยู่เลขที่ 401 ถนนวัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ได้นำบัวสายพันธุ์ต่างๆ เข้ามาปลูกพร้อมกับพัฒนาการปลูกอยู่เสมอ ทำให้บัวที่ปลูกอยู่ภายในสวนแห่งนี้ นอกจากมีบัวที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมีการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดให้ลูกค้าได้เลือกซื้อและนำไปปลูก สร้างเป็นบัวคุณภาพมากกว่า 1 ทศวรรษกันเลยทีเดียว คุณอิทธิพล เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะเริ่มมาปลูกบ
บัวฝรั่ง (hardy waterlily) มีถิ่นกำเนิดในเขตอบอุ่นและเขตหนาว จัดอยู่ในสกุล Nymphaea เช่นเดียวกับ บัวผัน บัวเผื่อน บัวกินสาย และจงกลณี ที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน จากการสืบค้นพบว่ามีการนำบัวฝรั่งมาปลูกในประเทศไทย เมื่อ 60 กว่าปีที่แล้ว พันธุ์ส่วนใหญ่มาจากยุโรปและอเมริกา บัวฝรั่งสามารถเจริญเติบโตได้ดีและออกดอกได้เกือบตลอดทั้งปีเมื่อนำมาปลูกในประเทศไทย บัวฝรั่ง มีลักษณะเฉพาะคือ ใบกลม ขอบใบเรียบ ดอกลอย หรือชูพ้นน้ำเล็กน้อย ล้ำต้นที่อยู่ใต้ดินเป็นแบบเหง้า มีการเจริญเติบโตแบบแนวนอน ดอกที่ออกมี 5 สี คือ ขาว ชมพู แดง เหลือง และแสด ดอกจะบานประมาณ 3 วัน ลักษณะการบานของดอกจะบานและหุบวันละ 1 ครั้ง ช่วงเวลาประมาณ 06.0014.00 นาฬิกา ดอกของบัวฝรั่ง เป็นแบบดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ การผสมพันธุ์ของบัวฝรั่งเป็นแบบข้าม (Cross-pollination) โดยที่ยอดเกสรตัวเมียอยู่ส่วนกลางของดอกมีลักษณะเป็นแอ่งคล้ายจาน เกสรตัวผู้จะเรียงรายเป็นวงอยู่รอบๆ ยอดเกสรตัวเมีย ถัดออกมาจะเป็นวงของกลีบดอก และกลีบเลี้ยง ธรรมชาติของบัวสกุล Nymphaea มีกลไกในการป้องกันการผสมตัวเองภายในดอกเดียวกัน กลไกนี้เรียกว่า โพรโตจีนัส (protogynous) คือการที่เ
บัว เป็นพืชประเภทล้มลุกมีหัวอยู่ในดิน การเจริญเติบโตชูใบและดอกขึ้นมาบนผิวน้ำ ใบมีลักษณะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ ดอกเป็นกลีบที่เรียงซ้อนกันหลายชั้น แต่ละสายพันธุ์มีขนาดและสีสันของดอกเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกัน มีความสวยงดงาม สมดังที่ได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชินีแห่งไม้น้ำ” บัว นับว่ามีความสำคัญกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน จะเห็นได้จากศิลปะแขนงต่างๆ ก็จะนำบัวเข้ามาร่วมกับวิถีชีวิตประจำวัน เช่น พิธีกรรมทางศาสนา การนำใบบัวมาห่ออาหาร ตลอดจนเป็นอาหารและสมุนไพรเพื่อเป็นยา นักพฤกษศาสตร์จำแนกบัวเป็น 2 วงศ์ (Family) ได้แก่ 1.วงศ์ไม้น้ำก้านแข็ง (Nelumbonaceae) มีชื่อที่เรียกสามัญในภาษาอังกฤษว่า Lotus มีลักษณะก้านแข็ง บัวในวงศ์นี้มีเพียงสกุล (Genus) เดียว คือ สกุล Nelumbo (ปทุมชาติ) เช่น บัวหลวง บัวฉัตร และบัวแหลม วงศ์ไม้น้ำก้านอ่อน (Nymphaeaceae) มีชื่อสามัญที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Waterlily ที่รู้จักกันเป็นบัวสาย ก้านมีลักษณะที่อ่อน มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนและเขตอบอุ่นหนาว บัวในวงศ์นี้มีด้วยกัน 6 สกุล (Genus) คือ สกุล Barclaya, สกุล Euryale, สกุล Nuphar, สกุล Nymphaea, สกุล Ondinea และ สกุล Victoria จาก 6 สก
บัวจัดเป็นพืชน้ำชนิดหนึ่งที่นิยมปลูกไว้ใกล้บ้าน สำหรับประดับตกแต่ง บางคนปลูกบัวจนขยายเป็นธุรกิจที่นำมาซึ่งการซื้อขายกันได้ บัวแต่ละสายพันธุ์มีลักษณะที่แตกต่างกันไป ที่แตกต่างกันชัดเจนไม่ใช่ที่ลำต้นแต่จะเป็นดอกและใบของบัว บางพันธุ์มีดอกขนาดเล็ก บางพันธุ์มีดอกใหญ่ อาจเข้าใจว่าบัวมีการเลี้ยงดูง่าย แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายอย่างที่คิด ดังนั้น เราจึงจะมาบอกกล่าววิธีการปลูก และข้อควรรู้เกี่ยวกับปลูกบัว เทคโนโลยีชาวบ้านของเราได้รับความกรุณาจาก คุณเดชรัฐ วรรณพรพาณิชย์ หรือ คุณจัมโบ้ เจ้าของสวนบัวแม่เจริญแปดริ้ว ที่แนะนำบัว วิธีการผสมพันธุ์บัว วิธีการปลูก และข้อควรรู้เกี่ยวกับปลูกบัวที่ถูกต้องให้ทุกท่านได้เข้าใจกัน คุณจัมโบ้ เกิดที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่อยู่ 37/2 หมู่ที่ 2 ตำบลบางเล่า อำเภอคลองเขื่อน จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียนจบปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ฉะเชิงเทรา เป็นเจ้าของ “สวนบัวแม่เจริญแปดริ้ว” ชื่อร้านนี้มาจากชื่อของคุณแม่ เขาเคยทำงานบริษัทมาก่อน ทำอยู่ได้ประมาณ 10 ปี จึงได้ลาออกมาปลูกบัวจริงจัง คุณจัมโบ้ เล่าว่า ตอนทำงานเตรียมตัวโดยทำไร่นาสวนผสมเป็นอาชีพเสริมไปด้วย ที่ปลูกก็มีมะนา