ปลากระชัง
จังหวัดกาญจนบุรี เป็นพื้นที่ราบและเทือกเขา มีภูเขาที่ทอดตัวตั้งขนานกับเส้นพรมแดนประเทศพม่า มีความยาว 460 กิโลเมตร เมื่อเอ่ยถึง จังหวัดกาญจนบุรี สิ่งที่ทุกคนนึกถึงคงจะหนีไม่พ้น การท่องเที่ยวพักผ่อนแบบสบายๆ ท่ามกลางธรรมชาติในบริเวณภูเขาใหญ่น้อยทั้งหลาย เพราะภูมิทัศน์ยังมีความหลากหลาย จังหวัดกาญจนบุรี นับว่ายังมีแหล่งป่าไม้ที่เป็นทรัพยากรสำคัญ ที่เป็นแหล่งเกิดธารน้ำ และห้วยเล็กๆ ไหลมาบรรจบเป็นแม่น้ำ 3 สายที่สำคัญ คือ แม่น้ำศรีสวัสดิ์ หรือแควใหญ่ แม่น้ำไทรน้อย หรือแควน้อย และแม่น้ำแม่กลอง คุณเทียมศักดิ์ สง่ากชกร อยู่บ้านเลขที่ 5/9 หมู่ที่ 1 ตำบลเขาน้อย อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ได้ใช้ประโยชน์จากแม่น้ำแม่กลองทำการเลี้ยงปลากระชัง เพราะบริเวณแห่งนี้ยังมีน้ำที่สะอาดเหมาะสมกับการประกอบอาชีพด้านการประมง ประสบความสำเร็จจากเลี้ยงโคนม จึงมาทดลองเลี้ยงปลากระชังสร้างรายได้ คุณเทียมศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะริเริ่มมาเลี้ยงปลากระชังนั้น ได้ทำการเกษตรด้านปศุสัตว์มาก่อน จากนั้นประมาณปี 2540 จึงมาเลี้ยงปลาในกระชัง “เริ่มแรกเดิมทีผมเลี้ยงโคนม พอลูกชายผมเรียนจบมา ก็เลยให้เขาทำโคนมไป ผมก็มาทดลองเลี้ย
ป้าละมาย วงษเสถียร เจ้าของกระชังปลาในบ่อดิน แห่งตำบลคำหยาด อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ซึ่งมีรูปแบบการเลี้ยงปลากระชังในบ่อดินที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากใช้ต้นทุนในการเลี้ยงค่อนข้างน้อย อีกทั้งด้วยเหตุผลสองประการหลักๆ คือ การใช้ขนมคบเขี้ยว อาธิ มาม่า ขนมปัง เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงปลา และในระหว่างเลี้ยงหรือจับปลาขายไม่เคยดูดน้ำทิ้งหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อเลี้ยง ทำให้สามารถเลี้ยงได้ตอลดทั้งปีโดยที่ไม่มีโรคเข้ามารบกวน ป้าละมาย เริ่มเลี้ยงหันมาเพาะเลี้ยงปลากระชังในบ่อดิน ราวๆ ปี 54 ซึ่งป้าละมายเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้าที่จะมาเลี้ยงปลา จะประกอบอาชีพรับชื้อเสื้อผ้ามือสองมาขายตามตลาดนัดแถวบ้านซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังทำอยู่ พอในช่วงต้นปี 52 หลานชายได้มาชื้อที่ดินแถวบ้านซึ่งเป็นที่ที่เจ้าของเดิมนั้นขุดเอาทรายไปขายทิ้งไว้แต่พื้นที่ที่เป็นบ่อ มีน้ำที่สะอาด สภาพแวดล้อมโดยรอบมีความอุดมสมบูรณ์ดี ป้าละมายเห็นว่าพื้นมีความเหมาะสมจึงตัดสินใจนำพื้นที่บางส่วนมาเพาะเลี้ยงปลาในกระชัง ควบคู่กับการขายเสื้อผ้ามือสอง โดยขณะนั้นความรู้เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงปลาไม่มี ลองผิดลองถูก สอบถามคนที่เลี้ยง และอาศัยประสบการณ
กาฬสินธุ์ เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการทำประมง สัตว์น้ำที่ทำรายได้ให้กับเกษตรกรที่โดดเด่นคือ กุ้งก้ามกราม และการเลี้ยงปลากระชัง ด้วยความนิยมบริโภคสัตว์น้ำนี้เอง จึงทำให้การทำประกอบอาชีพทางประมงสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรในหลายพื้นที่ ปลาหมอ ก็เป็นอีกหนึ่งสัตว์น้ำที่สามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการย่างที่ให้รสสัมผัสที่หอมชวนทาน หรือจะแกงก็ตอบโจทย์ไม่น้อย จึงทำให้มีการเลี้ยงเพื่อสร้างรายได้ด้วยเช่นกัน ปลาหมอ ลักษณะทั่วไปคือ มีลำตัวป้อมและค่อนข้างแบน โดยลำตัวมีสีน้ำตาลเหลืองปนดำ ขนาดความยาวของปลาหมอส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-16 เซนติเมตร ซึ่งปลาหมอจัดว่าเป็นปลากินเนื้อ พบได้ตามแม่น้ำ ลำคลอง ทะเลสาบ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปและการขยายตัวของเมืองที่เพิ่มขึ้น จึงทำให้หลายปีที่ผ่านมาจำนวนปลาหมอในแหล่งธรรมชาติหาไม่ได้ง่ายเหมือนแต่ก่อน จึงได้มีการเพาะพันธุ์และเลี้ยงเป็นปลาเนื้อเชิงการค้าอย่างต่อเนื่อง ให้เพียงพอต่อความต้องการในการบริโภค ทำให้เกิดการเลี้ยงเชิงการค้ามากขึ้นตามมา คุณพิสิษฐ์ บุญท้าว อยู่บ้านเลขที่ 130 หมู่ที่ 13 ตำบลกมลาไสย อำเภ
ความบังเอิญและภูมิปัญญาจากวิถีชีวิตของชาวบ้าน พลิกผันชีวิตและสามารถแก้วิกฤตให้เป็นโอกาส เปลี่ยนอาชีพและต่อยอดจากสิ่งที่มีมาดั้งเดิมไปสู่ความสำเร็จได้ จนสามารถสร้างอาชีพใหม่ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ และกลายเป็นคนต้นแบบให้กับผู้อื่นได้อีกด้วย อย่าง คุณไตรศักดิ์ ศรีเสาวนิตย์ หรือ เฮียฮ้ง ชาวนาเกลือวัย 60 ปี ที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นเจ้าของบ่อเลี้ยงปลากะพง ด้วยเพราะเกิดจากความบังเอิญ จึงได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ทำนาเกลือเดิม มาทำบ่อเลี้ยงปลากะพงอยู่ที่ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เฮียฮ้ง เริ่มต้นเล่าให้ฟังถึงภูมิปัญญาชาวบ้าน จนมาสู่การต่อยอดอาชีพการเลี้ยงปลากะพงในพื้นที่นาเกลือนี้ว่า “แต่ก่อนก็ทำนาเกลือ ทำมาเกือบ 30 ปี โดยมีพื้นที่สำหรับทำนาเกลืออยู่ประมาณ 100 กว่าไร่ และมีพื้นที่ทำนาเกลือแปลงเล็กแปลงน้อยอีกหลายแปลง แต่ในพื้นที่อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ก็มีพื้นที่ทำนาเกลืออีกมากมาย พอมีพื้นที่ทำนาเกลือเยอะ เกลือก็ล้นตลาด ราคาก็ต่ำลง ชาวนาเกลือก็ขายไม่ค่อยได้ สำหรับการเริ่มต้นเลี้ยงปลากะพง ในพื้นที่นาเกลือ เกิดมาจากความบังเอิญในครั้งแรก เนื่องจากเห็นว่าปลาพวกปลาหมอเทศ ปลานิล สามารถเข้ามาอยู่ใ
เส้นทางที่ลำน้ำในคลองอู่ตะเภาไหลผ่านจากอำเภอสะเดา เป็นเส้นทางที่พุ่งตรงเข้าไปยังตัวอำเภอหาดใหญ่ออกสู่ทะเล ระยะทางยาวมากพอจะเป็นลำน้ำที่มีระบบนิเวศอุดมสมบูรณ์ จนผู้คนที่อาศัยอยู่ตามแนวคลองอู่ตะเภา มีวิถีที่เรียกได้ว่าอาศัยลำน้ำสายนี้เพื่อดำรงชีพ ปลาชนิดหนึ่งในคลองอู่ตะเภา เรียกได้ว่า เป็นปลาพื้นถิ่นที่พบในคลองอู่ตะเภา ในอดีตพบมาก แต่ปัจจุบันลดจำนวนลงตามสภาพภูมิประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป คือ ปลากดเหลือง ชาวบ้านนิยมนำมาประกอบอาหาร โดยเฉพาะการทอด และนำไปใส่ในแกงเหลือง หรือแกงส้มของภาคใต้ ด้วยคุณสมบัติของเนื้อปลาที่มีไขมันมาก เนื้อนิ่ม หนังปลามีสีเหลือง เป็นปลาที่จัดอยู่ในกลุ่มปลาหนัง เรียกว่า ปลากด ซึ่งปลากดมีหลายชนิด ผิวหนังที่เป็นสีเหลือง จึงเรียกปลาชนิดนี้ว่า ปลากดเหลือง เมื่อปลากดเหลืองลดจำนวนลงจากแหล่งน้ำที่เป็นที่อยู่อาศัยลงไปมาก เหลือเพียงน้อยนิด แนวคิดอนุรักษ์ปลากดเหลืองจึงเริ่มขึ้น โดยศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดสงขลา นำพันธุ์ปลากดเหลืองมาเพาะและขยายพันธุ์ เพื่อขายหรือแจกจ่ายให้กับเกษตรกรที่สนใจเลี้ยง ส่วนหนึ่งเพื่อการอนุรักษ์ให้ปลากดเหลืองยังคงมีอยู่ และเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีอาชี
เกษตรกรผู้เลี้ยงปลากระชังเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ หันหลังให้กับอาชีพปลูกมันสำปะหลังที่ราคาตกต่ำ ประสบปัญหาขาดทุนซ้ำซาก รวมตัวจัดตั้งสหกรณ์เลี้ยงปลาด้วยเงินทุนเพียง 30,000 บาท มีรายได้เดือนละ 25,000-40,000 บาท ครบ 1 ปี มีเงินหมุนเวียน 14,000,000 ล้านบาท ชาวบ้านชุมชนรอบอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนลำปาวนั้นส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเลี้ยงปลานิลในกระชังเป็นสินค้าส่งออกตลอดปี โดยเลี้ยงกันมากในเขต ต.ภูดิน อ.เมืองกาฬสินธุ์ และ ต.หัวหิน อ.ห้วยเม็ก ทั้งในรูปแบบเอกชน และดำเนินการในรูปแบบสหกรณ์ โดยมีจุดเริ่มต้นจากกลุ่มเกษตรกรที่เคยทำนาและปลูกมันสำปะหลังจำนวนหนึ่ง หันมาจัดตั้งสหกรณ์ผู้เลี้ยงปลากระชังประสบความสำเร็จ โดยลงทุนครั้งแรกเพียง 30,000 บาทเท่านั้น นายราชิตร์ แก่นทอง อายุ 46 ปี บ้านเลขที่ 104 หมู่ 9 ต.ภูดิน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ประธานสหกรณ์ผู้เลี้ยงปลานิลในกระชังเขื่อนลำปาว จำกัด กล่าวว่า ก่อนที่จะมีการรวมตัวจัดตั้งเป็นสหกรณ์ฯ นั้น ตนและสมาชิกฯ เคยทำนาและไร่มันสำปะหลังเป็นอาชีพหลัก เลี้ยงปลากระชังเป็นอาชีพเสริม แต่เนื่องจากภาวะฝนแล้ง ผลผลิตตกต่ำ ราคาไม่แน่นอนประสบปัญหาขาดทุนทุกปี จึงหันมาเลี้ยงปลากระชังเ
จังหวัดพิษณุโลก เกษตรกรที่ประกอบอาชีพทางด้านการประมงภายในจังหวัดพิษณุโลก มีการเลี้ยงปลาอยู่ในบ่อดินและกระชังในแม่น้ำ ซึ่งการเลี้ยงเชิงพาณิชย์จะเน้นเลี้ยงภายในกระชังเป็นหลัก โดยเกษตรกรผู้เลี้ยงที่ขึ้นทะเบียนทั้งจังหวัด มีอยู่ประมาณ 8,000 กว่าราย โดยประกอบไปด้วยการเลี้ยงสัตว์น้ำที่หลากหลาย ไม่ได้มีแต่เฉพาะการเลี้ยงปลาเพียงอย่างเดียว โดยเกษตรกรเองมีการจัดการในเรื่องของการทำตลาด ด้วยการนำปลามาแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าขายเอง จึงทำให้เกิดรายได้หลากหลายที่ไม่เพียงแต่ส่งจำหน่ายให้กับพ่อค้าคนกลางเท่านั้น คุณปัธมา เพ็ชรนิล เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาทับทิมในกระชังบริเวณแม่น้ำน่าน อยู่หมู่ที่ 3 ตำบลจอมทอง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก มีหลักการเลี้ยงปลาให้เป็นอาชีพที่ยั่งยืน โดยเขาจะเน้นสร้างการตลาดจำหน่ายเองที่ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง จึงทำให้ได้ผลกำไรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย พร้อมทั้งมีการจัดการกระชังให้มีสุขลักษณะที่ดี ส่งผลให้ปลาที่เลี้ยงมีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของลูกค้า จนบางฤดูกาลมีไม่เพียงพอต่อการจำหน่ายเลยทีเดียว คุณปัธมา เล่าว่า ก่อนที่จะมาประกอบอาชีพทางด้านการประมงเหมือนเช่นทุกวันนี้ ย้อนไปเมื่อหลายสิบปีหล
คุณชัยวัฒน์ สุขสำแดง อยู่บ้านเลขที่ 67 หมู่ที่ 5 ตำบลท่าชัย อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท เป็นเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังที่ประสบผลสำเร็จมากว่า 20 ปี โดยเขาได้ใช้พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำให้เกิดประโยชน์ ด้วยการมาเลี้ยงปลาในกระชังที่แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีข้อดีคือกระชังของเขาอยู่เหนือเขื่อนจึงทำให้มีน้ำเลี้ยงปลาได้ตลอดทั้งปี ทำให้เวลานี้จากงานที่คิดจะทำเป็นอาชีพเสริม กลายเป็นงานที่สร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวให้กับเขาได้เป็นอย่างดี จากแค่คิดทดลองเลี้ยง จนกลายเป็นอาชีพ คุณชัยวัฒน์ สุขสำแดง เล่าให้ฟังว่า ช่วงสมัยก่อนนั้นมีอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรมทั่วไปคือ ปลูกพืช ต่อมาได้รู้สึกว่าอยากจะเลี้ยงปลาในกระชังเป็นอาชีพเสริม โดยเห็นว่าบริเวณที่ดินอยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำ มีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี จึงมีแนวคิดว่าการเลี้ยงปลาน่าจะเป็นอาชีพที่ทำเงินได้ จึงได้ทดลองเลี้ยงแบบจำนวนน้อยๆ โดยเริ่มเลี้ยงในช่วงแรก ประมาณ 2 กระชัง “ช่วงนั้นเริ่มจากทีละน้อยก่อน เพราะว่าเรื่องการตลาดเรายังไม่มีความรู้มากนัก พอเลี้ยงแล้วเริ่มประสบผลสำเร็จ ก็ขยับขยายการเลี้ยงมาเรื่อยๆ ซึ่งปลาที่เลี้ยงอยู่ในกระชังก็มี 3-4 ชนิด คือ ปลาดุก ปลาทับทิม ปลาก
ปลาทับทิม เป็นสัตว์น้ำอีกชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เพราะยังเป็นที่นิยมบริโภคไม่แพ้ปลาชนิดอื่นกันเลยทีเดียว โดยสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นปลาทับทิมย่างเกลือ ต้มยำปลาทับทิม ตลอดไปจนถึงทอดให้กรอบราดด้วยน้ำจิ้มสามรสหรือน้ำจิ้มซีฟู้ดก็เข้ากันได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งวิธีการเลี้ยงปลาทับทิมสามารถจัดการได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงในบ่อดินหรือเลี้ยงในกระชังควบคู่ไปกับการเลี้ยงปลานิลก็ได้ คุณชบา จิตรภักดี อยู่บ้านเลขที่ 62 ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี เป็นเกษตรกรที่เลี้ยงปลาทับทิม เพื่อเป็นอาชีพสร้างรายได้ของครอบครัว โดยเธอได้นำมาเลี้ยงภายในกระชัง ในแม่น้ำปราจีนบุรี จึงทำให้เจริญเติบโตมีคุณภาพและตลาดมีความต้องการ ถึงกับมีแม่ค้าติดต่อมารับซื้อถึงหน้าฟาร์มกันเลยทีเดียว จากเจ้าของร้านอินเตอร์เน็ต สู่ชีวิตเกษตรกร คุณชบา เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนนั้นได้ประกอบสัมมาอาชีพหลากหลาย แต่อาชีพสุดท้ายก่อนที่จะมาเลี้ยงปลาในกระชัง ได้เปิดร้านคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต ต่อมาเห็นเพื่อนบ้านได้ริเริ่มเลี้ยงปลากระชัง ในช่วงนั้นลูกชายของเธอรู้สึกสนใจ เพราะชอบในการเลี
ลุงพันธ์ อ่อนมณี อยู่บ้านเลขที่ 81/1 หมู่ที่ 1 ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม อีกหนึ่งเกษตรกร ผู้หาเวลาว่างหลังเกษียณ เลี้ยงปลากระชังในแม่น้ำโขง สร้างรายได้เช่นเดียวกัน ลุงพันธ์ ชายผู้มีอัธยาศัยยิ้มแย้มวัย 72 ปี เล่าให้ฟังว่า ก่อนริเริ่มทำการเลี้ยงปลาเผาะในกระชัง ก่อนหน้านี้มีอาชีพรับราชการ “เมื่อก่อนลุงเป็นครู พอหลังเกษียณมา ก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ ก็เลยหาอะไรทำ เพราะช่วงนั้นแถวบ้านก็มีคนทำก่อนแล้ว ลุงก็เห็นว่า เขาก็พอได้อยู่ได้กินมีรายได้ เพราะว่าเดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะว่าปลาธรรมชาติมันไม่ค่อยมีแล้ว มันหายาก ก็เลยมาลองเลี้ยงดู 2 กระชัง มันก็ได้ผลดี โตดีขายได้” ลุงพันธ์ เล่าถึงความเป็นมาของชีวิตหลังวัยเกษียณ ประมาณปี 2543 ที่เริ่มทดลองเลี้ยง ลุงพันธ์ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง พร้อมทั้งศึกษาข้อมูลจากประมงจังหวัด ทำให้ปลาเผาะที่ลุงพันธ์เลี้ยง สามารถสร้างรายได้ให้กับลุงได้เป็นอย่างดี ต่อมาจึงขยายการเลี้ยงออกไปเรื่อยๆ ทำให้ปัจจุบัน ลุงพันธ์มีปลาเผาะที่เลี้ยงในกระชังมากกว่า 20 กระชัง ลุงพันธ์ บอกว่า ปลาเผาะที่เลี้ยง มีทั้งปลาเผาะพันธุ์แท้ และปลาเผาะพันธุ์ลูกผสม ซึ่งลูกปลาทา