พืชพื้นบ้าน
ดอกขจร มีชื่อเรียกอื่นๆ ด้วยนะ เช่น ดอกสลิด ผักสลิดคาเลา สลิดป่า ผักสลิด กะจอน ขะจอน หรือผักขิก ดอกขจรจัดเป็นไม้เลื้อยวงศ์เดียวกับดอกรัก เป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดเล็ก ความสูงของต้นประมาณ 3-6 เมตร มักเลื้อยพาดพันต้นไม้ขนาดใหญ่ หรือขึ้นตามร้านต้นไม้ ยอดอ่อนมีขนปกคลุม เปลือกมีรอยแตกลึก และมีน้ำยางสีขาวในทุกส่วนของต้น ใบต้นขจรเป็นใบเดี่ยวขนาดเล็ก ปลายใบแหลม โคนใบเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ ใบมีสีเขียวอมแดงเล็กน้อย ส่วนดอกขจรจะออกช่อเป็นกระจุก คล้ายพวงอุบะ ดอกมีสีเขียวอมเหลือง ส่งกลิ่นหอมเย็น สามารถทานเป็นผักได้ ส่วนผลเป็นรูปไข่แกมรูปหอก ตรงเมล็ดจะมีขนเพื่อช่วยในการกระจายพันธุ์ ดอกขจร เป็นผักพื้นบ้านที่หาทานได้ง่าย และยังนิยมนำดอกขจรมาทำอาหารหลายเมนู เพราะดอกขจรหรือดอกสลิดมีรสชาติอร่อย แต่นอกจากความอร่อยของดอกขจรแล้ว ทราบไหมว่า ดอกขจรก็มีดีต่อสุขภาพหลายอย่าง และอุดมไปด้วยวิตามินเอ และวิตามินซีสูง เมนูยอดฮิตที่ไม่สามารถขาดดอกขจรได้เลยคงต้องยกให้เมนู น้ำพริกกะปิ ปลาทูทอดร้อนๆ กับดอกขจรลวก ใครที่ได้ลองทานก็ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นรสชาติที่ลงตัวอร่อยมากๆ คุณวัชรินทร์ สาพันธุ์ หรือ คุณลูกกอล์ฟ
แมงลัก คือพืชสมุนไพร ตระกูลเดียวกับโหระพาและกะเพรา นิยมนำมาบริโภคใบและเมล็ด ลักษณะของต้นแมงลักเป็นอย่างไร สรรพคุณของแมงลัก เช่น ช่วยควบคุมน้ำหนัก เป็นยาระบายอ่อนๆ คุณค่าทางโภชนาการและโทษของแมงลัก มีอะไรบ้าง ต้นแมงลัก (Hairy Basil) ชื่อวิทยาศาสตร์ของแมงลักคือ Ocinum canum. Sim. ชื่อเรียกอื่นๆ ของแมงลัก เช่น มังลัก ขาวมังลัก ผักอี่ตู่ กอมก้อขาว เป็นต้น ใบแมงลัก มีกลิ่นหอม นิยมนำมาทำอาหาร ช่วยดับคาว และเพิ่มความหอมของอาหารได้ดี เมนูอาหารที่นำใบแมงลักมาทำอาหาร เช่น แกงเลียง แกงหน่อไม้ เป็นต้น แมงลักในประเทศไทย สำหรับแมงลักในประเทศไทย จัดว่าเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง มีการปลูกแมงลัก เพื่อผลิตใบสดและเมล็ดแมงลักในเชิงพาณิชย์ สามารถพบเห็นแมงลักได้ทั่วไปตามตลาด สายพันธุ์แมงลัก ที่นิยมปลูก คือ แมงลักสายพันธุ์ศรแดง ที่มีลักษณะใบใหญ่ แหล่งปลูกต้นแมงลัก พบได้ทั่วไปทั่วประเทศ ลักษณะของต้นแมงลัก ต้นแมงลัก เป็นพืชล้มลุก อายุสั้นไม่ถึง 1 ปี นิยมรับประทานเป็นอาหาร ต้นแมงลัก สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการปักชำและการเพาะเมล็ดพันธุ์ ลักษณะของต้นแมงลัก มีดังนี้ ลำต้นของแมงลัก เนื้อไม้ของต้นแมงลักอ่อน อวบน้ำ ความสู
“ชะพลู” เป็นพืชพื้นบ้านที่แพร่หลาย พบในทุกจังหวัดของประเทศไทย เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุสืบต่อได้หลายปี ชอบพื้นที่ลุ่มต่ำ ชื้นแฉะ ที่ที่มีน้ำดี ดินดี จะเจริญเติบโตได้ดีมาก ใบจะโต ยอดจะอวบอ้วน เป็นพรรณไม้ที่มีต้นตั้ง บางครั้งจะพบต้นแบบเถาเลื้อย ระบบรากหากินผิวดิน ถ้าเถาเลื้อยไปพบที่เหมาะ ก็จะออกรากตามข้อ และแตกต้นขึ้นใหม่ แพร่ขยายต้นไปเรื่อยๆ เมื่อต้องการจะย้ายที่ปลูก ก็สามารถถอนดึงต้นติดรากไปปลูกได้เลย ชะพลู เป็นพืชในวงศ์ ไปเปอราซีอี (PIPERACEAE) ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ไปเปอร์ ซาเมนโตซัม (Piper sarmentosum Roxb.ex Hunter) มีชื่อเรียกหลายอย่าง ภาคเหนือ เรียก ผักปูนก ผักฟูนก ผักแค ช้าพลู พลูลิง พลูลิงนก พลูนก ภาคอีสาน เรียก ผักปูลิง ผักนางเลิด ผักอีเลิด ภาคใต้ เรียก นมวา แต่ละถิ่นอาจมีเรียกคล้ายกัน หรือต่างกันบ้าง ตามสำเนียงการออกเสียงของท้องถิ่น และมันก็คือ ชะพลู นั่นแหละ ใบมีลักษณะรูปหัวใจ เหมือนใบพลูกินหมาก แต่จะเป็นใบบางๆ มีใบหลายขนาด ใบเล็กขนาดกว้าง 2-3 เซนติเมตร ยาว 3-5 เซนติเมตร ใบใหญ่จะกว้างถึง 15 เซนติเมตร ยาว 17 เซนติเมตร มีก้านใบยาว 1-5 เซนติเมตร ใบมีรสเผ็ด ชะพลูมีดอกเป็นช่อ รูปทรงกระ
ชาวบ้านชนบทที่ทำไร่ไถนา ในแต่ละปีจะมีแผนการปลูกพืช อยู่ในใจแล้วว่า ช่วงไหนจะปลูกอะไรได้ความรู้มาจากพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย บรรพบุรุษสอนให้จำทำให้ดู ลูกหลานก็เรียนรู้ตามต่อ เป็นวิถีชีวิตสืบกันมา อยากจะย้อนรอยถอยหลังไปถึงอดีตที่เคยได้สัมผัส เช่นเดียวกับเขาชาวบ้านเหล่านั้น ถึงสมัยนี้จะมีคำประณามหยามเหยียดส่อเสียดทิ่มแทง ของคนทั่วไปว่าเป็น “ชาวไร่เลื่อนลอย” ก็ตามที แต่อยากเล่าถึงองค์ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาในการเพาะปลูกพืชของคนสมัยนั้น จนมาเกี่ยวพันกับพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “แตงลาย” แตงของไทยแท้ ที่เป็นมรดกภูมิปัญญาไทยเรา “แตงลาย หรือ แตงไทย” เป็นไม้ประเภทเถาล้มลุก ลำต้นหรือเถาแตง มีลายเป็นสันร่องตามความยาวของเถา มีข้อ แตกกิ่งแขนง มีมือเกาะ มีขนขึ้นปกคลุมทั่วต้น ใบแตงลาย เป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่พอประมาณ มีลักษณะรูปทรงกลมเป็นเหลี่ยม มีเว้าเล็กน้อย ขอบใบหยัก ก้านใบยาว มีขนขึ้นปกคลุมทั่วใบ ดอกแตงลาย เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ดอกตัวผู้เป็นดอกเดี่ยวสีเหลืองออกที่ง่ามใบ กลีบดอกรูปทรงกระบอก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน มีเกสรตัวผู้ 3 อัน บริเวณอับเรณูจะมีติ่งยาวยื่นออกมา ส่วนดอกตัวเมียเป็นดอกเดี่ยวเหมือนดอกตัวผู้ มีรั
ในเมื่อโลกเราทุกวันนี้ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่เป็นปัญหากับคน คนผู้ที่คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของโลกนี้ สารพัดสิ่งที่เป็นภัยคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ โรคภัยมันมาจากไหน จากดิน จากหินผา จากน้ำ จากอากาศ หรือจากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยร่วมโลกเดียวกันนี้ คน สัตว์ พืช จุลชีพจุลินทรีย์ทั้งหลาย การดำรงชีวิตของมนุษย์ สัตว์ พืช มีความจำเป็นต้องมี อาหาร น้ำ ที่อยู่ เครื่องห่อหุ้มคลุมปิด และยารักษาโรค ซึ่งก็มีอยู่บนโลกใบนี้เช่นกัน พึ่งพาอาศัย ใช้งานกันไปมา “คนกินสัตว์ สัตว์กินพืช พืชกินดิน ดินกลืนกินพืช กินสัตว์ และกินคน” เวียนวนกันอยู่เช่นนี้ ถ้าจะแจงนับเอาสิ่งมีชีวิต ที่เป็นเพื่อนคู่มิตรชิดใกล้กับคนเราแล้ว “พืช” เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้ชิดมาก ได้พึ่งพาอาศัย และทำลายล้างกันมาตลอด พบพืชชนิดหนึ่งที่ใกล้ชิดคนเรามานาน ใบคล้ายใบมะเขือขื่น มีหนามเหมือนมะเขือพวง มีลูกออกมาเป็นช่อ ช่อพวงละหลายลูก มีขนปกคลุมทั่วผล ตอนผลสุกแก่จะดูสวยงาม สวยกว่าผลของพืชอื่น แต่ถ้าจะดูให้น่ากลัว ก็น่าหวาดกลัวอยู่ มันมีขนปุกปุยรอบผล เหมือนขนของตัวบุ้งร่าน ที่พร้อมจะใช้เป็นอาวุธทำร้าย หรือป้องกันคนที่จะเข้าไปเด็ดดอม และกันสัตว์ที่จะเข้าไปกัดก
“ผำ” หรือ “ไข่น้ำ” พืชพื้นบ้านติดทำเนียบอาหาร super foods ของโลก จึงได้รับฉายาว่า “Green Caviar” เพราะมีโภชนาการครบถ้วนสูงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก อุดมไปด้วยวิตามิน โปรตีน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นิยมรับประทานกันมากในภาคเหนือและภาคอีสาน มีขึ้นอยู่ตามแหล่งน้ำที่เป็นน้ำนิ่ง เช่น บึงและหนองน้ำธรรมชาติทั่วไป โดยปกติจะมีมากในแหล่งน้ำธรรมชาติที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสารเคมีเจือปน เนื่องจากผำธรรมชาติจะเจริญเติบโตแพร่พันธุ์ได้ดีก็ต่อเมื่อแหล่งน้ำนั้นเป็นน้ำสะอาด ปัจจุบันมีการนำมาเพาะเลี้ยงสร้างรายได้กันมากขึ้น คุณกมลวรรณ รุ่งประเสริฐวงศ์ หรือ คุณแสบ เป็นชื่อที่พี่น้องในวงการเกษตรได้ให้ฉายา และเรียกติดปากกันมาจนชื่อ “แสบ” ได้กลายเป็นชื่อเล่นของเธอไปแล้ว ด้วยบุคลิกที่ดูขี้เล่น สนุกสนาน แต่ยังคงมีความน่ารัก และเป็นตัวของตัวเอง เป็นที่รักใคร่แก่ผู้พบเห็น บวกกับความสามารถของเธอคนนี้ ที่ถึงแม้ว่าจะอายุยังน้อย แต่ความสามารถด้านการเกษตรก็ไม่เป็นสองรองใคร นับเป็นอีกหนึ่งเกษตรกรหัวก้าวหน้าไม่หยุดอยู่กับที่ ด้วยการกลับมาพัฒนาสวนเกษตรผสมผสานของที่บ้านให้งอกเงย ทั้งในแง่มุมด้านการตลาด แปรรูปส
คุณสุนทร คมคาย รองประธานกลุ่มสหกรณ์เกษตรอินทรีย์ปราจีนบุรี อยู่บ้านเลขที่ 69 หมู่ที่ 4 ตำบลเขาไม้แก้ว อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เกษตรกรนักสู้ นักพัฒนา และเปรียบเสมือนผู้นำความยั่งยืนมาสู่ชุมชน ด้วยการลด ละ เลิก ใช้สารเคมี หันมาทำเกษตรอินทรีย์เพื่อความยั่งยืนจนประสบผลสำเร็จ สามารถสร้างรายได้จากสวนเกษตรอินทรีย์ได้มากกว่าปีละครึ่งล้าน คุณสุนทร คมคาย เล่าถึงจุดเริ่มต้นการทำเกษตรว่า ตนเคยทำงานเป็นพนักงานขายปุ๋ยเคมีมาก่อน เมื่อถึงจุดอิ่มตัวกับการเป็นลูกจ้างก็ได้ลาออกจากงานกลับมาเปิดร้านขายเคมีภัณฑ์เป็นของตัวเอง และมีการทำเกษตรปลูกไม้ผลควบคู่กันไป โดยการนำความรู้เรื่องสารเคมีมาประยุกต์ใช้กับวิชาการเกษตรที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จนกระทั่งในปี 2533 เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อกำลังจะมีโรงงานไฟฟ้ามาตั้งในหมู่บ้าน ตนได้มีส่วนร่วมเป็นแกนนำคัดค้านการก่อสร้างโรงงาน และมีภาคประชาชนจากหลายกลุ่มเข้ามาช่วย จากวิกฤตครั้งนั้นกลายเป็นโอกาสจบเรื่องราวต่างๆ ไป แต่ยังเหลือมิตรภาพดีๆ จากการที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้อาชีพจากเพื่อนๆ หลายกลุ่มที่เข้ามาช่วยกัน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรอินทรีย์สนามชัยเขต ท
ตามประสาชาวบ้านอย่างเราๆ ไม่ได้เห่อตามกระแสสังคม ในการเสาะหาของกินเพื่อสุขภาพ แต่เป็นอุปนิสัยพื้นเพเดิมของเราเองที่หาอะไรกินแบบบ้านๆ กระแสสังคมตามมาวิจัย ค้นคว้า และจัดให้อาหารพื้นบ้านว่า เป็นกลุ่มอาหารสุขภาพ เผยแพร่แนะนำให้คนทั่วไปรู้ถึงประโยชน์ และคุณค่าของอาหารพื้นบ้านของเรา จนเกิดเป็นกระแสนิยมขึ้นมา โดยเฉพาะอาหารที่มาจากพืช ที่นิยมเรียกกันว่าผัก ที่มีมากกว่า 200 ชนิด ที่เป็นผักพื้นบ้าน นิยมนำมาทำเป็นอาหาร โดยเคียงคู่กับอาหารหลัก คือ ข้าว บ้างเรียกว่า “กับข้าว” ถ้าจัดการปรุงแต่ง มีกับข้าวหลายๆ อย่าง ตั้งวงเพื่อร่วมกินกัน เรียก “สำรับกับข้าว” เช่นบรรยากาศเวลานี้ “แกงส้มมะรุม” เป็นหนึ่งในสำรับกับข้าวที่นิยมกันทั่วทุกภาคเลยเชียว “มะรุม” เป็นพืชผักพื้นบ้านที่ปลูกกันแพร่หลายทั่วไป การปลูกมะรุมไว้ที่บ้าน เมื่อก่อนโบราณเขาถือ เชื่อว่าถ้าปลูกจะเกิดปัญหาวุ่นวาย ความยุ่งยากมารุมมาตุ้ม จึงนำไปปลูกไว้นอกรั้ว สมัยนี้เห็นมีปลูกกันในบ้านเยอะแยะ เป็นไม้ที่มีเสน่ห์มาก เพราะคนทั่วไปรู้คุณค่า คุณประโยชน์ที่มีมากมายในมะรุม บ้านเราตอนนี้ มีผักพื้นบ้านหลายชนิดที่ชาวบ้านได้เรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของพืชผ
ในบ้านเรานี้ มีพืชเป็นยา ที่เรียกว่า สมุนไพร มากมายหลายอย่าง ที่คนไทยนำมาใช้รักษาโรค บำรุงร่างกายมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล รักษาชีวิตคนให้อยู่รอดมาแล้วมากมาย ไม่ว่ายุคใดสมัยไหน ต่างก็รู้จักมักคุ้นพืชสมุนไพรต่างๆ และใช้ประโยชน์กันมาอย่างแพร่หลาย ถึงแม้ยาแผนปัจจุบันจะมีมากมาย แต่ยาสมุนไพรก็ไม่ได้ด้อยค่าความนิยมลงเลย กลับตรงกันข้าม ยิ่งจะมีผู้คนเสาะแสวงหามาใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น พืชสมุนไพรเมื่อก่อนต้องเข้าไปเสาะหาได้มาจากป่า เดี๋ยวนี้หลายอย่างนำมาปลูกในบริเวณบ้าน ในชุมชนกันมากแล้ว “มะแว้ง” เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ผู้คนนิยมนำมาปลูกไว้ใช้ประโยชน์ เป็นพืชผักประกอบอาหาร เป็นพืชประดับบ้านและสวน และเป็นพืชสมุนไพร ปลูกกันหลายถิ่น เรียกกันไปต่างๆ ภาคกลาง เรียก “มะแว้ง” ภาคเหนือ เรียก “มะแคว้งขม”, “มะแค้งขม” ภาคอีสาน เรียก “หมากแข้งขม” ภาคใต้ เรียก “แว้งคม” กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน เรียก “สะกั้งแค” ส่วนชาวรัฐฉาน เรียก “หมากแฮ้งคง” คนเลี้ยงไก่ชนเมื่อก่อนใช้เป็นยาหยอดตาไก่ นิยมปลูกข้างเล้าไก่ เรียก “มะแค้งตาไก่” มะแว้ง มีอยู่ 2 ชนิด คือ มะแว้งต้น กับ มะแว้งเครือ หรือมะแว้งเถา มะแว้งต้น เป็นต้นคล้ายต้นมะเขื
เมื่อก่อน บ้านเราเป็นเมืองธรรมชาติ ที่ชาวบ้านคลุกคลีใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร พืชพรรณไม้ป่า ผักหญ้าริมทางเดิน ปลูกถั่วงาธัญญาหารเลี้ยงชีพ โรคภัยไข้เจ็บ เกิดจากธรรมชาติ บำบัดรักษาด้วยธรรมชาติ แบบภูมิปัญญาพื้นบ้าน พืชเกือบทุกชนิดเป็นยารักษาโรค เรียกกันว่า “สมุนไพร” วันนี้ บ้านเราเมืองเรา เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมากมาย หลายสิ่งที่เคยมีได้สูญหายไป แต่ก็ยังมีหลายอย่างที่ยังคงอยู่ คงเป็นเพราะยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและเป็นของดี ที่ยังฝังใจคนบ้านเราอยู่มิคลาย เช่น พืชเก่าแก่พื้นบ้านย่านชนบท พืชผักพื้นเมือง สมุนไพร อย่างเช่นผักชื่อนี้ “ผักฮ้วนหมู” “ผักฮ้วนหมู” เป็นชื่อเรียกของคนทางภาคเหนือ “ฮ้วน” หมายถึง ขดลำไส้ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dregea Volubilis stapf วงศ์ ASCLEPIADACEAE พบในป่าดงดิบ ป่าโปร่ง ชายป่า ป่าละเมาะ และสวนหลังบ้าน มีพบกระจายพันธุ์ในต่างประเทศ เช่น อินเดีย จีนตอนใต้ ไต้หวัน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และหลายประเทศในแถบอินโดจีน ขยายพันธุ์โดยการตัดชำกิ่งเถา ชอบพื้นที่ชื้น ขึ้นได้กับดินทุกชนิดที่ระบายน้ำดี ทนแล้งได้ดี อายุยืนหลายปี มีชื่อเรียกตามภูมิภาคต่างๆ ของบ้านเรา ภาคเหนือ เรี