ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแม่ฮ่องสอน
ละมุด จัดเป็นไม้ผลขนาดกลาง มีเส้นผ่าศูนย์กลางพุ่ม อยู่ระหว่าง 4-8 เมตร ไม่สลัดใบ ความสูงของต้นจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์ อยู่ระหว่าง 9-15 เมตร ต้นแผ่กิ่งก้านสาขาแข็งแรง กิ่งเหนียวไม่หักง่าย ออกดอกติดผลตลอดทั้งปี กรมส่งเสริมการเกษตร สำรวจพบว่า แหล่งปลูกละมุด ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดราชบุรี รองลงมาคือสุโขทัย และนครราชสีมา ที่เหลือปลูกกระจัดกระจายอยู่ใน 31 จังหวัด ที่ผ่านมา ไทยเคยส่งออกละมุดแช่แข็งและผลละมุดสดไปยังประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บูรไน และยุโรป สำหรับ ละมุด ที่ปลูกในเมืองไทย สามารถจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มพันธุ์ผลเล็ก ได้แก่ พันธุ์มะกอก พันธุ์ปราจีน พันธุ์สีดา ส่วนพันธุ์ผลขนาดกลาง ได้แก่ พันธุ์กระสวยมาเล พันธุ์ดำเนิน พันธุ์นมแพะ และกลุ่มผลใหญ่ ได้แก่ พันธุ์กำนัน พันธุ์ ทช01 พันธุ์ CM19 พันธุ์สาลี่เวียดนาม และพันธุ์ตาขวัญ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีจุดเด่น-จุดด้อย ที่แตกต่างกันออกได้ ได้แก่ พันธุ์มะกอก หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ละมุดกรอบ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีรสชาติดี รสหวาน หอม กรอบ แต่มีขนาดผลเล็ก ผลมีลักษณะกลมเมื่อยังเล็กอยู่ เมื่อโตขึ้นก็จะค่อยๆ ยาวเหมือนผลมะกอก จัดอยู่ในกลุ่มขนาดผลเล็ก ค
สาย ภาษาท้องถิ่นภาคใต้ฝั่งอันดามัน หมายถึง สาหร่าย มีคุณประโยชน์นานัปการ ชาวบ้านที่อาศัยบริเวณชายฝั่งทะเลเก็บบริโภคมาช้านาน โดยสามารถนำมาบริโภคสดจิ้มกับน้ำพริกกะปิ หรือน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือจะนำมายำกับหมึกหรือกุ้งก็เข้ากันได้ดี ทุกคนที่ได้รับประทานต่างติดใจในรสชาติและเนื้อสัมผัสเมื่อเคี้ยวโดนเม็ดสาหร่ายจะกรุบกรอบทำให้รับประทานได้ไม่เบื่อ ในต่างประเทศ สาหร่ายทะเล ก็เป็นอาหารที่นิยมบริโภคมาเป็นเวลานาน ประเทศที่นิยมบริโภคสาหร่ายทะเล ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เป็นต้น นอกจากนี้ สาหร่ายทะเลยังมีประโยชน์หลากหลาย ไม่ว่าจะใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง ปุ๋ย ยารักษาโรค อาหารสัตว์ เป็นต้น ในปัจจุบัน มีการนิยมบริโภคสาหร่ายทะเลมากขึ้น เนื่องจากสาหร่ายทะเลมีคุณประโยชน์มากมาย จัดเป็นอาหารสุขภาพ ประเทศที่มีการเลี้ยงและส่งออกสาหร่ายมีหลายประเทศ เช่น ประเทศจีน เวียดนาม แคนาดา ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ในประเทศไทยนั้นมีการบริโภคสาหร่ายทะเลในจังหวัดทางภาคใต้และภาคตะวันออก โดยรับประทานแทนผัก ในปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลได้หลายชนิด โดยหนึ่งในนั้น ได้แก่ สาหร่ายพวงองุ่น
ลิ้นจี่ พันธุ์นครพนม 1 หรือ นพ.1 เป็นลิ้นจี่ที่คัดเลือกและพัฒนาโดยกรมวิชาการเกษตร จนปัจจุบันเป็นผลไม้และเป็นสินค้า GI ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนครพนม ข้อมูลปี 2560 มีผลผลิตรวม 580.8 ตัน พื้นที่เก็บเกี่ยว 1,098 ไร่ จากพื้นที่ปลูกทั้งหมด 2,711 ไร่ พันธุ์ลิ้นจี่ที่ปลูกในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มที่ปลูกในภาคกลางและภาคอื่นๆ เป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นที่ไม่เย็นมากและระยะเวลาหนาวเย็นที่ต่อเนื่องกันไม่นานก็สามารถชักนำให้ออกดอกได้ เรียกว่า ลิ้นจี่กลุ่มพันธุ์เบา เก็บเกี่ยวผลผลิตช่วงปลายเดือนมีนาคมหรือเมษายน เช่น พันธุ์ค่อม สำเภาแก้ว เขียวหวาน กระโถนท้องพระโรง สาแหรกทอง และพันธุ์นครพนม 1 เป็นต้น 2.กลุ่มพันธุ์ที่ปลูกทางภาคเหนือ เป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นมากและต่อเนื่องยาวนานในการกระตุ้นและชักนำการออกดอก ให้ผลผลิตในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม เช่น พันธุ์ฮงฮวย จักรพรรดิ กิมเจ็งบริวสเตอร์ และกิมจี๊ เป็นต้น ลิ้นจี่พันธุ์เบา มีข้อได้เปรียบคือ ให้ผลผลิตเร็ว ช่วงที่ผลผลิตมีน้อย ทำให้ขายได้ราคาสูง ควรจะมีการส่งเสริมให้ปลูกในพื้นที่ที่มีศักยภาพ ซึ่งพันธุ์นครพนม 1 หรือ นพ.1 เหมาะส
จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นเมืองแห่งผลไม้ที่หลากหลายชนิด มีระบบวิถีการเกษตรแบบวนเกษตรไม้ผลที่มีชื่อเสียง ส่งผลให้มูลค่าทางเศรษฐกิจสูง แต่เนื่องด้วยลักษณะของการเพาะปลูกแบบวนเกษตรดั้งเดิมกำลังถูกเปลี่ยนมาเป็นระบบพืชเดี่ยว มีการใช้ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชเพื่อเพิ่มผลผลิตด้วยสารเคมีมากขึ้น ผนวกกับลักษณะพื้นที่ปลูกเกือบทั้งหมดอยู่บนภูเขาสูง มีความเสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายและเกิดดินถล่มตลอดเวลา และดินมีความเป็นกรดสูง อีกยังมีเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรเป็นจำนวนมาก หน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งสถาบันการศึกษาต่างๆ จึงได้เข้ามาจัดการถ่ายทอดองค์ความรู้พัฒนาสู่เชิงพาณิชย์ ตั้งแต่การเตรียมปลูก การกำจัดแมลงและศัตรูพืช จัดการระบบหลังเก็บเกี่ยว แปรรูปสร้างเอกลักษณ์ให้ดึงดูดใจ พร้อมจัดการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อการตลาดและส่งออก แก้ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ ปัจจุบัน สำนักงานเกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์ ยกย่อง “สวนใจใหญ่ ไร่แลตะวัน” ของ พี่นอม หรือ คุณประนอม ใจใหญ่ เป็นหนึ่งในเกษตรกรต้นแบบดีเด่นของจังหวัดอุตรดิถต์ และเป็นแปลงเกษตรที่ได้รับมาตรฐาน GAP สวนใจใหญ่ ไร่แลตะวัน ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 18/1 หมู่ที่ 5 ตำบลแม่พลู อำเภอลับแล จังหวั
วันที่ 23 ตุลาคม 2565 นางสุวรรณดี ขวัญเมือง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดตรัง นำผู้สื่อข่าวไปชมการเพาะเลี้ยงไข่น้ำ หรือผำ ที่สามารถนำไปใช้เป็นอาหารเลี้ยงปลาได้ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดตรัง เลขที่ 10 หมู่ที่ 4 ตำบลนาโต๊ะหมิง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ไข่น้ำ และนำมาใช้เลี้ยงลูกปลา และปลาโตเต็มวัย เพื่อลดต้นทุนค่าอาหารปลาที่ปรับราคาสูงขึ้นข้อดีของการนำไข่น้ำหรือผำไปใช้เลี้ยงปลา คือ ช่วยให้ปลาโตเร็วแข็งแรง เพราะไข่น้ำ มีโปรตีนสูงถึงร้อยละ 42.03 น้ำหนักแห้ง (ข้อมูลจากกลุ่มวิจัยสัตว์น้ำกรมประมง) หลังจากเพาะขยายพันธุ์ไข่น้ำได้เป็นจำนวนมาก ทางศูนย์วิจัยฯ ตรัง ได้แจกจ่ายไข่น้ำให้เกษตรกรฟรี เพื่อนำไปเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์เป็นอาหารปลาที่เกษตรกรเลี้ยงไว้ โครงการนี้ ได้รับการตอบรับจากเกษตรกรเป็นอย่างดี เพราะช่วยประหยัดต้นทุนค่าอาหารปลาชนิดสำเร็จรูปลงได้มาก สำหรับเทคนิคการเพาะเลี้ยงไข่น้ำ (ผำ) ทำได้ง่าย มีขั้นตอนดังนี้ 1. กรณีเลี้ยงไข่น้ำในระยะยาวแบบต่อเนื่อง ควรเลี้ยงในถังซีเมนต์กลม กะละมัง บ่อพลาสติก หรือบ่อเลี้ยงปลาขน
ด้วยสภาพทางธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า มีความชุ่มชื้น ตลอดจนเกิดลำธารน้ำจากภูเขาน้อยใหญ่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนเอื้อต่อการเจริญเติบโตของสัตว์ป่าทางธรรมชาติหลายชนิด รวมถึงเขียดแลวหรือกบภูเขาด้วย ทั้งนี้ เขียดแลว มักพบได้มากในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง ส่วนบริเวณชายแดนไทย-พม่า มักพบมากในบริเวณป่าชุ่มชื้นที่มีลำธารน้ำไหล อย่างอำเภอแม่สะเรียง อำเภอปาย ขุนยวม สบเมย ในอดีตประชากรเขียดแลวมีจำนวนมากจัดเป็นอีกเมนูที่ชาวแม่ฮ่องสอนนำมาบริโภคเหมือนอาหารพื้นบ้านทั่วไป อีกทั้งยังได้รับความนิยมแพร่หลายตามร้านอาหารหลายแห่งกระทั่งจำนวนลดลงในสภาวะอันตรายถึงขั้นอาจสูญพันธุ์ จนต้องมีการรณรงค์เพื่อหยุดจับเขียดแลวบริโภคกันเลย ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอนว่าจะขาดแคลนอาหาร จึงได้มีพระราชเสาวนีย์แก่กรมประมงให้พัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรด้วยการเพิ่มประชากรเขียดแลวเพื่อรักษาสมดุลทางธรรมชาติและเป็นอาหารของประชาชนในโครงการธนาคารอาหารชุมชน (FOOD BANK) ตามพระราชดำริ ดังนั้น เพื่อเป็นการสนองพระรา
ปัจจุบันกระแสรักสุขภาพมาแรง ทั่วโลกต่างต้องการบริโภคพืชผักผลไม้อินทรีย์ที่ปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง ทั้งตัวผู้ผลิต ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อมกันอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สินค้าพืชผักผลไม้อินทรีย์สามารถขายได้ราคาดีกว่าพืชที่ปลูกด้วยเคมี ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐและเอกชนจึงหันมาสนับสนุนให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชผักผลไม้อินทรีย์กันมากขึ้น หัวใจการผลิตผักอินทรีย์ อยู่ที่การจัดการธาตุอาหารและศัตรูพืชที่เหมาะสม 1.การจัดการธาตุอาหาร แนะนำให้ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ สำหรับการปลูกผักกวางตุ้งและหอมแบ่ง หากมีอินทรียวัตถุในดินน้อยกว่า 1.5% ต้องใส่ปุ๋ยหมักแห้งชีวภาพอัตรา 2.8 ตัน ต่อไร่ ส่วนแปลงปลูกกะหล่ำปลี คะน้า และกวางตุ้ง ที่มีอินทรียวัตถุในดินต่ำ ควรทำปุ๋ยหมักแบบเติมอากาศในอัตรา 2 ตัน ต่อไร่ แบ่งใส่ 2 ครั้ง หลังย้ายปลูก 10 และ 30 วัน 2.การจัดการศัตรูพืชที่เหมาะสม ควรใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา ผสมปุ๋ยหมักคลุกดิน หรือรองก้นหลุมพร้อมปลูก เช่น – โรคเน่า โคนเน่า ในกะหล่ำปลี กวางตุ้ง และคะน้า สามารถควบคุมได้โดยใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา รองก้นหลุมในอัตรา 10 กรัม ต่อวัน – โรครากเน่า โคนเน่า ของหอมแบ่ง สามารถดูแลป้องกัน
นายรพีทัศน์ อุ่นจิตตพันธ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดตาก ได้นำโครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่เข้าไปส่งเสริมให้เกษตรกรในอำเภอพบพระ จังหวัดตาก ปรับเปลี่ยนการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็นไม้ผลเศรษฐกิจ ได้แก่ อะโวคาโด และมีการรวมกลุ่มสมาชิกจัดตั้งเป็นแปลงใหญ่อะโวคาโด อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ขึ้นในปี พ.ศ.2560 มีเกษตรกรเข้าร่วมจำนวน 50 ราย พื้นที่เข้าร่วม 300 ไร่ ปัจจุบันมีการขยายเครือข่ายเกษตรกรผู้สนใจในพื้นที่อำเภอพบพระ จำนวนรวม 6 แปลง เกษตรกรเพิ่มเป็น 257 ราย พื้นที่รวม 3,204 ไร่ ซึ่งผลสำเร็จตามเป้าหมายของดำเนินงานขับเคลื่อนแปลงใหญ่อะโวคาโด อำเภอพบพระ ในปัจจุบัน เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยน จากอโวคาโดพันธุ์พื้นเมืองเป็นพันธุ์ดี โดยการเปลี่ยนยอด จำนวน 4,635 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 60 ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP 28 แปลง และการรับรอง “ตากการันตี” 181 แปลง เกษตรกรสามารถลดต้นทุนการผลิตได้ร้อยละ 25 (จากไร่ละ 4,900 บาท เป็น 3,675 บาท) และสามารถเพิ่มผลผลิตได้ร้อยละ 20 ในส่วนของกลุ่มเกษตรกร มีการบริหารจัดการกลุ่มในรูปแบบคณะกรรมการบริหารจัดการ และมีการจดทะเบียน
นายไพศอล หะยีสาแระ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรยะลา เปิดเผยว่า จังหวัดยะลา มีพื้นที่การเกษตรส่วนใหญ่เป็นสวนยางพารา 1,246,055 ไร่ และสวนไม้ผล 127,088 ไร่ ไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ทุเรียน ลองกอง และมังคุด เป็นต้น ส่วนข้าวมีพื้นที่ปลูก 44,275 ไร่ พืชผัก 5,924 ไร่ และพืชไร่ 1,833 ไร่ ซึ่งจะเห็นว่าเกษตรกรมีการพึ่งพารายได้หลักจากยางพาราที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัด จึงถือว่าความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในช่วงที่โรคใบร่วงยางพารากำลังระบาดเพิ่มขึ้นได้ส่งผลทำให้รายได้เกษตรกรลดลงเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นก็พบว่าในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และภาวะสงคราม ได้ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรทั้งในเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และการตลาดมีข้อจำกัดมากขึ้นศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรยะลา (ศวพ.ยะลา) สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 8 (สวพ.8) กรมวิชาการเกษตร เล็งเห็นว่าหากเกษตรกรพึ่งพารายได้จากพืชเชิงเดี่ยวเป็นหลัก ก็จะส่งผลให้มีความเสี่ยงเรื่องการขาดความมั่นคงทางอาหารในภาพรวม จึงได้จัดทำโครงการวิจัยและพัฒนาการจัดการผลิตพืชเพื่อเพิ่มเสถียรภาพด้านรายได้และความมั่นคงด้านอาหารของชุมชนนวัตก
ผู้เขียนได้รับทราบข่าวจาก คุณศิริฉัตร สุนทรวิภาต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดจังหวัดลำพูน ว่ามีเกษตรกรรายหนึ่งประสบผลสำเร็จเป็นรายแรกของภาคเหนือ ที่ทำการเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามอินทรีย์สำเร็จ ผู้เขียนจึงมีโอกาสไปเยี่ยมชมที่ ฟาร์มฮัก 888 เจ้าของฟาร์มคือ คุณสุวัฒฑ์ ราศรี หนุ่มวัย 43 ปี ฟาร์มอยู่ในเขตตำบลหนองหนาม อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน คุณสุวัฒฑ์ ราศรี หรือคนทั่วไปจะเรียกนิคเนมว่า อั๋น เล่าให้ฟังว่า ในอดีตนั้นเป็นคนภาคกลาง พ่อแม่เคยทำนา เลี้ยงวัว ควาย มาก่อน ตนเองเลยต้องขวนขวายหาเงินส่งตัวเองเรียนหนังสือด้านอิเล็กทรอนิกส์ จนจบออกมาทำงานบริษัทแห่งหนึ่งเป็นเวลาหลายปี ต่อมาเกิดความเบื่อหน่ายการใช้ชีวิตในเมืองกรุง จึงรวบรวมเงินได้ก้อนหนึ่งหาซื้อที่ดินที่บ้านหนองหนาม จำนวน 18 ไร่ เริ่มทำฟาร์มเลี้ยงกุ้ง ระยะแรกตั้งชื่อว่า “ฟาร์มฮัก” แต่บังเอิญชื่อนี้มีคนอื่นตั้งชื่อไว้แล้ว ดังนั้น เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว อีกทั้งเลข 8 มีความหมายทางภาษาจีน ว่า ร่ำรวย จึงใช้ชื่อ ฟาร์มฮัก 888 ด้วยแนวคิดทั่วไปที่ว่า การเลี้ยงกุ้งก้ามกราม เลี้ยงได้เฉพาะเขตจังหวัดนครปฐม ราชบุรี สมุ