สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี โดย นายแพทย์ปิยะเดช วลีพิทักษ์เดช นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลพบุรี และคณะเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี พร้อมด้วย แพทย์หญิงนุชรินทร์ อักษรดี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช นำเสนอนิทรรศการผลงานเด่น “การพัฒนากระท้อน GI ของดีเมืองลพบุรีสู่ไอศกรีมกระท้อนชาววัง” ในการประชุมผู้บริหารระดับสูง กระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 2/2568 ณ ห้องชัยนาทนเรนทร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมฯ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริหารและผู้เข้าร่วมการประชุมจำนวนมาก ทั้งนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรีได้มีนโยบาย “จังหวัดลพบุรีแผ่นดินทองสมเด็จพระนารายณ์” ได้เห็นความสำคัญของกระท้อนตะลุงซึ่งเป็นผลไม้รสชาติดีของจังหวัดลพบุรีที่ได้รับการรับรอง GI หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ จากผลการตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหารในปี 2567 พบว่าปลอดภัยจากสารปนเปื้อน 100% จึงได้ส่งเสริมบริษัท อินเตอร์โฟกัสฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตไอศกรีมผลไม้ในจังหวัดลพบุรี ให้ผลิตไอศกรีมจากกระท้อนและให้การอนุญาต อย.เชิงรุก
“ส้มแก้ว” เป็นผลไม้มงคลตามความเชื่อและความนิยมของชาวไทยเชื้อสายจีนในการนำไปไหว้บรรพบุรุษในเทศกาลตรุษจีน สารทจีน และวันขึ้นปีใหม่ โดยจังหวัดสมุทรสงครามเป็นแหล่งปลูกส้มแก้วใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และผลักดันส้มแก้วเป็นสินค้าอัตลักษณ์ของจังหวัด ยื่นขอขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) “ส้มแก้ว” มีลักษณะคล้ายส้มโอผสมกับส้มเขียวหวาน คือผลกลมแป้น เนื้อเยอะ เนื้อฉ่ำ รสชาติหวานอมเปรี้ยว จังหวัดสมุทรสงครามมีพื้นที่ปลูกส้มแก้ว ประมาณ 60 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบางสะแก อำเภอบางคนที เกษตรกรผู้ปลูก 36 ครัวเรือน แต่ละรายมีพื้นที่สวนประมาณ 3-4 ไร่ เนื่องจากส้มแก้วเป็นไม้ผลที่ต้องการแสงแดดเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น สามารถเจริญเติบโตได้ดีภายใต้ร่มเงาจากไม้ผลประเภทส้มโอ ลิ้นจี่ ฯลฯ เกษตรกรจึงนิยมปลูกส้มแก้วเป็นไม้ผลร่วมแปลงเฉลี่ยประมาณ 20 ต้นต่อไร่ เกษตรกรสามารถปลูกส้มแก้วได้ตลอดทั้งปีในพื้นที่ที่มีน้ำเพียงพอ นิยมปลูกส้มแก้วโดยใช้กิ่งชำ ให้น้ำและปุ๋ย 16-16-16 สม่ำเสมอทุกเดือน หลังจากปลูกประมาณ 2-3 ปี ส้มแก้วจะเริ่มติดผลและจะให้ผลอย่างเต็มที่ประมาณปีที่ 5-7 โดยทั่วไป ช่วงเดือนสิงหาคมต้นส้มแก้วเริ่มผลิดอกอ
เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2568 กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศรับรองส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้งเมืองลอง ให้ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ ( GI) ทะเบียนเลขที่ สช 68100246 โดยให้มีผลตั้งแต่วันยื่นคำขอขึ้นทะเบียน เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 ส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้งเมืองลอง เป็นผลไม้อัตลักษณ์จังหวัดแพร่ ที่มีลักษณะเด่นเฉพาะตัว คือ ส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง ที่มีทรงผลค่อนข้างกลมนูนสูง ก้นผลเรียบ เมื่อแก่จัดจะบุ๋ม ผลแก่ผิวเปลือกสีเขียวอมเหลือง น้ำหนักผลไม่น้อยกว่า 1.5 กิโลกรัม เมล็ดน้อย แกะง่าย เนื้อกุ้งใหญ่สีน้ำผึ้ง เนื้อแน่น แห้ง ไม่ฉ่ำน้ำ รสชาติหวานอมเปรี้ยว ไม่เฝื่อน ไม่ขม และไม่ช่าลิ้น ค่าความหวานไม่น้อยกว่า 9 องศาบริกซ์ ปลูกในอำเภอลองและอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ มีผลผลิตเข้าตลาดมากในเดือนสิงหาคมถึงตุลาคมของทุกปี ที่มาของพันธุ์ส้มโอเมืองลอง ส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง เป็นพืชที่เกษตรกรในพื้นที่อำเภอลองและอำเภอวังชิ้นปลูกมานานกว่า 40 ปี ส่วนแหล่งที่มาของต้นพันธุ์ส้มโอดั้งเดิมมาจาก 2 แหล่ง เริ่มจากปี 2508 นายวงค์ ชมภูมิ่ง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “พ่อเลี้ยงวงค์” ได้นำกิ่งพันธุ์ส้มโ
ในโลกของการแข่งขันทางการค้า ผู้ผลิตทุกสาขาจำเป็นที่จะต้องใช้กลยุทธ์การตลาดที่เหนือกว่าคู่แข่งเพื่อบริหารกิจการ และการผลิตสินค้า ทั้งด้านคุณภาพ ราคา รูปลักษณ์ บริการส่งมอบ บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ แต่ในสนามการแข่งขันที่รุนแรงอาจมีวิธีการที่แยบยล เชิงกลเม็ดเคล็ดลับในแบบที่เรียกกันว่า เล่ห์กล มนต์คาถา แบบว่าต้องให้เหนือกว่าคู่แข่ง หรือไม่ก็ให้หมอบกันไปข้างหนึ่ง วงการสับปะรดอาจไม่รุนแรงมากนัก แต่จากกระแสความนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การยอมรับความแปลกใหม่ กระแสอนุรักษ์ธรรมชาติ การปกป้องสิ่งแวดล้อม ผลผลิตแนวเกษตรอินทรีย์ สตอรี่แหล่งที่มาของผลผลิตเฉพาะท้องถิ่น ฯลฯ เป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ผลิตต้องคำนึงถึง แหล่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ จีไอ (GI : geographical indications) เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่ถูกนำมาใช้เพื่ออ้างอิง และการรับรองคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร เพื่อประชาสัมพันธ์ด้านการตลาด สับปะรดทองระยอง เป็นผลไม้ ที่ได้ผ่านการรับรอง จีไอ จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ให้เป็นสินค้า จีไอ มีแหล่งผลิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของจังหวัดระยอง มีคุณลักษณะที่โดดเด่นแตกต่างจากสับปะรดพันธุ์อื่น ที่ทำให้ผลผลิตมีมูล
“กระท้อนตะลุง” เป็นหนึ่งในไม้ผลเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดลพบุรี ผลผลิตเข้าสู่ตลาดช่วงปลายเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนสิงหาคมของทุกปี กระท้อนตะลุงมีคุณภาพดี รสชาติเนื้อและปุยเมล็ดหวาน อร่อยเป็นที่นิยมของผู้บริโภค ราคากระท้อนผลสดเฉลี่ย 35-120 บาท ต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และขนาดผล กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรในพื้นที่ได้เพิ่มมูลค่าทางการตลาดโดยการนำไปแปรรูป อาทิ กระท้อนลอยแก้ว กระท้อนแช่อิ่ม กระท้อนหยี ที่มาของ “กระท้อนตะลุง” เมื่อ 75 ปีก่อน (ปี พ.ศ. 2489) ปู่พร้อม ยอดฉุน เป็นผู้นำต้นกระท้อน (พันธุ์ทับทิม พันธุ์อีล่า พันธุ์นิ่มนวล) จากจังหวัดนนทบุรี นำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในตำบลตะลุงจนเต็มสวน สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำลพบุรี ซึ่งเป็นดินน้ำไหลทรายมูล ดินทรายหวาน ทำให้ได้ผลผลิตคุณภาพดี ถูกใจผู้บริโภค เกษตรกรชาวจังหวัดลพบุรีจึงนิยมปลูกกระท้อนครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบล ริมแม่น้ำลพบุรี ในอำเภอเมืองลพบุรี คือ ตำบลโพธิ์เก้าต้น ตำบลตะลุง และตำบลงิ้วราย ผลผลิตโดยเฉลี่ย 1,000 กิโลกรัม ต่อไร่ สำนักงานเกษตรจังหวัดลพบุรี ร่วมกับหน่วยงานภาคี ผลักดันให้เกิดการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของกระท้อนจังหวัดลพบุ
จังหวัดพังงา ตรวจรับรองแปลงทุเรียนสาลิกา ส่งเสริมการใช้ตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ยกระดับคุณภาพและเพิ่มมูลค่า “ทุเรียนสาลิกาพังงา” ทุเรียนสาลิกา (Salika Durian) หรือชื่อเต็มตามการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications : GI) ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา คือ “ทุเรียนสาลิกาพังงา” เป็นทุเรียนพื้นเมืองที่มีต้นกำเนิดในพื้นที่อำเภอกะปง จังหวัดพังงา มีการขยายพันธุ์จนมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในปัจจุบัน ทุเรียนสาลิกาของแท้ดั้งเดิมจะมีลักษณะผลค่อนข้างกลม เปลือกบาง เมล็ดลีบ รสชาติหวานมัน เนื้อสีเหลือง เนื้อหนาละเอียด มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ และที่สำคัญบริเวณกลางแกนผลมีสนิมสีแดงทุกผล จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ เมื่อปี 2561 โดยมีขอบเขตการผลิตเฉพาะในพื้นที่อำเภอกะปง จังหวัดพังงา เท่านั้น และหลังจากได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์แล้ว ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรผู้สนใจขออนุญาตใช้ตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ จนปัจจุบันมีเกษตรกรที่ได้รับการอนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ “ทุเรียนสาลิกาพังงา” แล้ว รวมทั้งสิ้นกว
ข้าว สิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งเป็นอาหารหลักประจำวันและพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของคนไทย ซึ่งสายพันธุ์ของข้าวที่เพาะปลูกอาจแตกต่างกันไปตามพื้นที่ เช่นเดียวกับข้าวเบายอดม่วง เป็นข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่ในอดีตมีการเพาะปลูกอย่างแพร่หลายในพื้นที่จังหวัดตรัง โดยเฉพาะในพื้นที่ตำบลวังคีรี อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง แต่เนื่องจากในช่วงหลังมีการส่งเสริมให้ปลูกข้าวสายพันธุ์เศรษฐกิจชนิดอื่นในพื้นที่ จึงทำให้มีการปลูกข้าวเบายอดม่วงลดลงตามไปด้วย คุณกมลศรี พลบุญ Young Smart Farmer และประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนชาวนาตำบลวังคีรี อำเภอห้วยยอด อยู่บ้านเลขที่ 11 หมู่ที่ 2 ตำบลวังคีรี อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ได้เล่าให้ฟังว่า ตนเองเป็นคนพื้นเพดั้งเดิมอยู่ที่ตำบลวังคีรี แต่ไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพมหานคร จนเมื่อประมาณปี 2550 ได้กลับมายังบ้านเกิด และเริ่มทำนาอย่างจริงจัง เนื่องจากในตำบลวังคีรีมีพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวกันมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย และพบว่าข้าวที่ปลูกกันส่วนใหญ่จะเป็นสายพันธุ์เศรษฐกิจที่มีการสนับสนุนให้ปลูก ซึ่งบางสายพันธุ์ให้ผลผลิตได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากสภาพพื้นที่ไม่เหมาะแก่การปลูก จนมีอยู่วัน
“พร้อมกันนี้ ศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดศรีสะเกษ ยังเป็นหน่วยตรวจรับรองมาตรฐานแปลงเกษตรที่ดีเหมาะสม (GAP : Good Agricultural Practices) อีกด้วย” นายสมชาย เชื้อจีน ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งมีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลัก โดยนอกจากจะทำหน้าที่ในการศึกษา ทดลอง เพื่อหาแนวทางในการทำการเกษตรในพื้นที่ภาคอีสานในด้านต่างๆ แล้ว ยังเป็นหน่วยตรวจรับรองมาตรฐานแปลงเกษตรที่ดีเหมาะสม (GAP : Good Agricultural Practices) “GAP คือ แนวทางในการทำการเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี และปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนด โดยกระบวนการผลิตจะต้องปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ปราศจากการปนเปื้อนของสารเคมีไม่ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ได้ผลผลิตสูงคุ้มค่าการลงทุน” นายสมชาย กล่าว ดังนั้น เพื่อให้กระบวนการผลิตพืชอาหารมีความปลอดภัยได้มาตรฐานเดียวกับการส่งออก ทางศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์ฯ ได้จัดส่งเจ้าหน้า
กล้วยหิน เป็นกล้วยป่า พบในธรรมชาติครั้งแรกเป็นจำนวนมากในสภาพอากาศร้อนชื้น บริเวณป่าสองฝั่งแม่น้ำปัตตานี ในพื้นที่ตำบลบาเจาะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เนื่องจากทำเลทองแห่งนี้มีผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ มีความชื้นทั้งในดินและในอากาศสูงตลอดทั้งปี กล้วยหิน 1 เครือ จะมีประมาณ 7-10 หวี เฉลี่ยหวีละ 10-15 ผล กล้วยหินเติบโตได้ในดินแทบทุกประเภท ทนแล้งได้ดี ลำต้นมีขนาดใหญ่ แข็งแรง แตกกอเก่ง ไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวน ทนทานต่อโรครากเน่า (ตายพราย) มีเปลือกหนาทนทานต่อการขนส่ง และผลแก่เก็บไว้ได้นานนับสัปดาห์ ลำต้นอ่อนนำมาปรุงอาหารรสชาติดีกว่ากล้วยน้ำว้า ทั้งนี้ กล้วยหินบันนังสตา ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในวงกว้าง สำนักงานเกษตรจังหวัดยะลาจึงส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน นำกล้วยหินมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้า ปัจจุบัน กล้วยหินบันนังสตา ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI : Geographical Indication) ลักษณะผลส่วนใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่ผลด้านข้างสุดของหวีทั้งสองด้านมักจะเป็นรูปสามเหลี่ยม เปลือกหนา ผลดิบเปลือกสีเขียวเข้ม เมื่อสุกเปลือกสีเหลือง เนื้อแน่น ผลดิบเนื้
เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2563 สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง (สสก.3) นำสื่อมวลชนเยี่ยมชมความสำเร็จขนุนแปลงใหญ่ ตำบลหนองเหียง อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี หนึ่งในวิสาหกิจชุมชนที่มีการบริหารจัดการสินค้าเกษตรโดยยึดหลักตลาดนำการเกษตรอย่างครบวงจร ส่งออกจีน และยุโรป สร้างรายได้แก่ชุมชน เตรียมขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ขนุนหนองเหียง นายดำรงฤทธิ์ หลอดคำ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง (สสก.3) เปิดเผยว่า อำเภอพนัสนิคม มีเกษตรกรผู้ปลูกขนุนในพื้นที่เกือบทุกตำบล และปลูกมากในพื้นที่ตำบลหนองเหียง โดยปลูกอย่างจริงจังเป็นอาชีพสามารถส่งจำหน่ายเป็นรายได้หลักและรายได้เสริมเป็นอย่างดี ที่สำคัญเป็นขนุนคุณภาพ ตั้งแต่ขนาด ปริมาณ เนื้อผิว และรสชาติ เป็นที่ยอมรับของตลาด เกษตรกรมีการจัดการด้านการตลาดอย่างเด่นชัด ผลผลิตส่วนใหญ่ส่งออกต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบผลสดและแบบแกะเนื้อแช่แข็ง ส่วนผลอ่อนขนาดเล็กที่ไม่ได้คุณภาพจะนำมาแปรรูป โดยผลสุกได้นำมาแปรรูป อาทิ ขนุนลอยแก้ว ขนุนเชื่อมอบแห้ง แยมขนุน เป็นต้น ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมาก “สสก.3 จังหวัดระยอง