สุกร
ที่ดินแห้งแล้งรกร้างว่างเปล่า 1,253 ไร่ ในตำบลบ้านซ่อง อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รับการพลิกฟื้นจนมีความอุดมสมบูรณ์ สร้างชุมชนเกษตรกรที่เข้มแข็งภายใต้ชื่อ “หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า” เปลี่ยนชาวบ้านยากไร้สู่กลุ่มเกษตรกรผู้มั่งคั่ง ด้วยการทำเกษตรกรรม มีการเลี้ยงสุกรเป็นอาชีพหลัก ปลูกพืชไร่และไม้ผลเป็นอาชีพเสริม จนสามารถส่งต่อความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็นชุมชนต้นแบบของการพัฒนาอย่างยั่งยืน มานานกว่า 47 ปี นับตั้งแต่ปี 2520 พวกเขาทำได้อย่างไร? นายภักดี ไทยสยาม ประธานกรรมการ บริษัท หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จำกัด มาให้คำตอบกับคำถามนี้ เขาบอกว่าที่นี่เมื่อ 47 ปีที่แล้ว ชาวบ้านต่างเผชิญปัญหาความยากจน ไร้โอกาส ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งเป็นโจทย์ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ทำให้เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ต้องการเข้ามาแก้ไข ด้วยการรวบรวมผืนดินที่แห้งแล้ง รกร้างมาพัฒนาให้กับเกษตรกร พร้อมทั้งให้ความรู้ที่ทันสมัยในการเลี้ยงสัตว์ควบคู่กับการเพาะปลูก จัดหาแหล่งเงินทุน และหาตลาดในการจัดจำหน่าย ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง ด้วยโมเดล “3 ประโยชน์ 4 ประสาน” ซึ่งเป็นรูปแบบความร่วมมือ 4 ฝ่าย คือ รัฐบาล เอกชน ส
การเลี้ยงหมูหลุม เป็นอีกช่องทางที่สามารถช่วยลดในเรื่องของกลิ่นได้ดี เพราะการเลี้ยงจะเน้นใส่แกลบลงไปภายในเล้า จึงทำให้ของเสียที่เกิดจากการขับถ่ายของหมู ซึมลงไปด้านล่างทำให้ไม่มีกลิ่นส่งออกมารบกวน คุณสุธี ทัศนสุนทรวงศ์ เกษตรกรจังหวัดราชบุรี ได้ปรับเปลี่ยนจากการเลี้ยงหมูแบบเดิม มาเลี้ยงเป็นหมูหลุม ซึ่งการเลี้ยงด้วยวิธีนี้ยังช่วยประหยัดต้นทุนได้ดี โดยเฉพาะการใช้น้ำ ที่ไม่ต้องหมั่นฉีดทำความสะอาดในทุกๆ วัน แบบการเลี้ยงด้วยวิธีการเดิม ในเรื่องของตลาดลูกค้าบอกกันไปปากต่อปาก จึงทำให้หมูหลุมภายในฟาร์มเป็นที่รู้จักของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง กำลังผลิตไม่พอขายต่อความต้องการของตลาด
สัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตร เผย ระบบไบโอซีเคียวริตี้ช่วยป้องกันโรคเข้าสู่ฟาร์มปศุสัตว์ ใช้อาหารที่มีคุณภาพและน้ำสะอาดในการเลี้ยงดู ทำให้สัตว์แข็งแรง ปลอดภัย จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือวัคซีนในการรักษา สอดคล้องกับหลักสวัสดิภาพสัตว์ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงวัตถุดิบอาหารที่ปลอดเชื้อ ปลอดภัย แนะเลือกซื้อจากแหล่งจำหน่ายน่าเชื่อถือ มีตราปศุสัตว์ OK ปรุงสุกก่อนรับประทาน อาจารย์ น.สพ.พิชัย จิรวัฒนาพงศ์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายบริหาร คณะสัตวแพทยศาสตร์ กำแพงแสน ภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากการระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมีความพิถีพิถันในการเลือกรับประทานอาหารที่ปลอดภัยมากขึ้น ยังไม่นับรวมถึงโรคระบาดในสัตว์อย่าง ASF ซึ่งถือว่าเป็นโรคอุบัติใหม่ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยมีมาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มแข็ง ช่วยคนไทยมีแหล่งอาหารโปรตีนจากเนื้อหมูอย่างเพียงพอ ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) เป็นระบบการป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ฟาร์มปศุสัตว์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งประกอบด้วย โรงเรือนระบบปิดที่มีการป้องกันสัตว์
นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยืนยันว่า ยังไม่มีนโยบายนำเข้าสุกรจากต่างประเทศ ถือเป็นนโยบายที่ถูกต้อง เนื่องจากปริมาณเนื้อหมูในประเทศมีเพียงพอกับความต้องการ ประกอบกับราคาสุกรลดลงแล้วทั้งหน้าฟาร์มและหน้าเขียง จากการปฏิบัติการของภาครัฐที่เข้าแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ถูกจุด คาดว่าสถานการณ์ราคาจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเร็วๆ นี้ การไม่ให้มีการนำเข้าเป็นแรงจูงใจสำคัญให้เกษตรกรหันกลับมาเลี้ยงสุกร เพื่อเพิ่มปริมาณสุกรเข้าสู่ระบบ “สถานการณ์ราคาสุกรในขณะนี้อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง เป็นไปตามกลไกตลาด ปริมาณผลผลิตสุกรกลับมาสมดุลกับการบริโภค โดยก่อนหน้านี้ผู้เลี้ยงได้มีมติร่วมกันดูแลระดับราคาสุกรหน้าฟาร์มตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 6 แล้ว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้บริโภค ล่าสุดราคาสุกรขุนมีชีวิตหน้าฟาร์มเกษตรกรโดยรวมปรับมาอยู่ที่ 94-97 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงอยู่ที่ 94.69 บาทต่อกิโลกรัม” นายสิทธิพันธ์ กล่าว นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาค
การรับมือสถานการณ์ ASF ในเรื่องของการป้องกันโรค นับเป็นประเด็นสำคัญที่เกษตรกรควรเรียนรู้และเตรียมความพร้อม เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้จัดงานสัมมนาสัญจรขึ้น ณ จังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดสุรินทร์ ภายใต้หัวข้อ “หลังเว้นวรรค…จะกลับมาอย่างไรให้ปลอดภัย?” เพื่อปูพื้นฐานที่เข้มแข็งให้กับเกษตรกรรายย่อยพร้อมกลับเข้ามาในระบบและทำการเลี้ยงหมูอีกครั้ง เป็นส่วนหนึ่งของการคลี่คลายสถานการณ์หมูหายไปจากระบบเป็นจำนวนมาก ด้วยสาเหตุของโรคระบาดที่เกิดขึ้น นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระบุว่างานดังกล่าวได้รับความร่วมมือด้วยดีจากบริษัทผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งมีประสบการณ์ในการถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรคอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่งของบริษัทปลอดภัยจากโรคระบาดได้สำเร็จ และยังคงเลี้ยงหมูป้อนตลาดได้จนถึงปัจจุบัน ส่งผู้แทนนักวิชาการของบริษัทร่วมถ่ายทอดเทคนิคความรู้ดังกล่าว ร่วมกับ ผศ.น.สพ.คัมภีร์ กอธีระกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุกรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน ทั้งนี้ มาตรการป้องกันโรคดังกล่าว ต้องเริ่มต้นตั้งแต่การพิจารณาข้อมูลระดับจังหวัด โดยทำการโซนนิ
นายอัมพร อัมพรพุทธิสกุล รองกรรมการผู้จัดการ ซีพีเอฟ เปิดโรงงานแปรรูปสุกรแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา ต้อนรับ นายณฐภณ ร่างมณี ผู้แทนจากพาณิชย์จังหวัด ร่วมด้วย นายทรงสิทธิ์ บู่บาง ปศุสัตว์อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา และ นายธวัฒน์ ปิ่นแก้ว ปศุสัตว์อำเภอบางปะกง พร้อมคณะ เข้าเยี่ยมชมกระบวนการผลิตเนื้อสุกรและอาหารปลอดภัย พร้อมตรวจสอบสต๊อกการผลิต ตามข้อสั่งการของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบว่าโรงงานมีการจัดเก็บสต๊อกพื้นฐานตามปกติ เพื่อจัดส่งแก่ลูกค้าตามคำสั่งซื้อ โดยผู้แทนพาณิชย์จังหวัดและปศุสัตว์อำเภอ ได้กล่าวชื่นชมบริษัท ที่ให้ความสำคัญและให้ความร่วมมือที่ดีกับหน่วยงานราชการมาโดยตลอด และที่ผ่านมามีการจัดส่งข้อมูลการผลิตครบถ้วน ถูกต้อง มีการรายงานอย่างต่อเนื่อง
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รายงานกำไรประจำไตรมาส 3/2563 จำนวน 7,475 ล้านบาท เติบโต 23% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และกำไรสำหรับ 9 เดือนปี 2563 จำนวน 19,614 ล้านบาท เติบโต 36% จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จำนวน 61,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% จากปีก่อน ซึ่งเป็น EBITDA ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปัจจัยหลักมาจากภาวะขาดแคลนสุกรในภูมิภาคจากการระบาดของโรค ASF (African Swine Fever) ที่ส่งผลให้ราคาตลาดอยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อน ประกอบกับความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยดีขึ้นต่อเนื่องจากการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดและการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวถึง ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟที่ดีขึ้น ปัจจัยหลักมาจากการขาดแคลนสุกรในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากการระบาดของโรค ASF ที่ทำให้ปริมาณสุกรลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามและประเทศจีน ทำให้ระดับราคาสุกรปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนอย่างผิดปกติ พร้อมทั้งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอุตสาหกรรมการ
กรมปศุสัตว์ จับมือภาคเอกชนส่งเสริมความรู้เรื่องโรค ASF ในสุกร ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อยในจังหวัดขอนแก่น และเดินหน้าอบรมเกษตรกรรายย่อยอย่างต่อเนื่องให้คลอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อร่วมป้องกันโรคและเฝ้าระวัง ช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหาย ขณะที่ ซีพีเอฟ เตรียมซ้อมแผนรับมือเข้มแข็ง ดร. สมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรม (2 ส.ค.) เรื่อง “เข้าใจ รู้ทัน ร่วมป้องกันโรค ASF ในสุกร” แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายย่อย ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นกว่า 260 คน เป็นจังหวัดที่ 10 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันสร้างภูมิคุ้มกันโรคระบาดให้กับผู้เลี้ยงหมูรายย่อย ดร. สมศักดิ์ กล่าวว่า ตามแผนการเตรียมความพร้อมและรับมือโรค ASF ในสุกร ที่เป็นวาระแห่งชาตินั้น จังหวัดขอนแก่นให้ความสำคัญและประสานความร่วมมือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการป้องกันโรคระบาดอย่างเต็มที่ เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในจังหวัดขอนแก่น รวมไปถึงป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ในระดับจังหวัดและระดับ
จังหวัดอุดรธานี ร่วมมือ ซีพีเอฟ อบรมผู้เลี้ยงหมูรายย่อย สร้างภูมิคุ้มกันโรค ASF ในสุกร นับเป็นจังหวัดที่ 14 ของภาคอีสาน มีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมอบรม 170 คน อย่างคึกคัก จากนโยบายการเตรียมพร้อมและรับมือโรค ASF ในสุกรที่กำลังเป็นวาระแห่งชาติขณะนี้ ปศุสัตว์จังหวัดอุดรธานี ร่วมกับ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอ็มเอสดี แอนิมัล เฮลธ์ (ประเทศไทย) จำกัด ส่งเสริมความรู้เรื่องโรค ASF ในสุกร ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงรายย่อยในจังหวัดอุดรธานี เพื่อร่วมป้องกัน เฝ้าระวัง รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายจากโรค ASF ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ในระดับจังหวัดและระดับประเทศ นายสิธิชัย จินดาหลวง รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรม เรื่อง “เข้าใจ รู้ทัน ร่วมป้องกันโรค ASF ในสุกร” กล่าวว่า การจัดอบรมให้ความรู้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายย่อยครั้งนี้ จะช่วยกระตุ้นให้เกษตรกรเจ้าของฟาร์มขนาดเล็กตื่นตัว ตระหนักถึงผลกระทบของโรคและร่วมกันเฝ้าระวัง รวมถึงเตรียมความพร้อมในการป้องกันอย่างเข้มแข็ง “จังหวัดอุดรธานี ได้ติดตามส
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร เป็นอีก 1 ใน 4,000 โครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้น เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอาชีพความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของพสกนิกรชาวไทยในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ พื้นที่ 13,300 ไร่ของศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.ห้วยยาง อ.เมือง จ.สกลนคร แบ่งเป็นพื้นที่พัฒนาการเกษตรประมาณ 2,300 ไร่ พื้นที่เขตปริมณฑลเพื่อการพัฒนาป่าไม้ประมาณ 11,000 ไร่ ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูล้อมข้าวและป่าภูเพ็ก ในปี 2458 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ภาคอีสานเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งการเสด็จฯครั้งนั้นทำให้พระองค์ทรงเห็นปัญหาความแห้งแล้งที่มาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตัดไม้ทำลายป่า เรื่องของสภาพดิน และการใช้พื้นที่เกษตรที่ไม่ถูกหลักวิชาการ สำหรับศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานฯ เน้นการศึกษาค้นคว้าวิจัยทดลองงานพัฒนาการเกษตรที่เหมาะสมแก่ท้องถิ่น และนำออกเผยแพร่เป็นตัวอย่างให้ราษฎรนำไปปฏิบัติ เพื่อพัฒนาอาชีพ ฟื้นฟูและพัฒนาป่า