สศก.
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ชีวมวลจากปาล์มน้ำมันเพื่อผลิตไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการนำเศษวัสดุเหลือใช้จากปาล์มน้ำมันมาใช้เป็นพลังงานทดแทนในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ สศก. โดยสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร ได้จัดเก็บข้อมูลในพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่สำคัญใน 7 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พังงา ตรัง และชลบุรี ดำเนินการสัมภาษณ์โรงงานสกัดน้ำมันปาล์มแบบแยกเมล็ดใน (โรง A) จำนวน 24 โรง โรงไฟฟ้าชีวมวล จำนวน 8 โรง และเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน รวม 145 ราย รวมทั้งได้จัดสัมมนาระดมความคิดเห็น เพื่อรับฟังข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับศักยภาพการนำชีวมวลจากปาล์มน้ำมันผลิตไฟฟ้า และความเหมาะสมของโครงการที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนตั้งโรงไฟฟ้าชีวมวล ผลการศึกษา พบว่า ศักยภาพชีวมวลปาล์มน้ำมันในแต่ละชนิด ได้แก่ เมล็ดในปาล์ม ให้ค่าพลังงานความร้อนมากที่สุด ที่ 1.959 ล้านเมกะจูล รองลงมาคือ เส้นใยปาล์ม 1.500 ล้าน เมกะจูล ทะลายเปล่า 1.370 ล้านเมกะ
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า การขับเคลื่อน Big Data ภาคเกษตร ที่ผ่านมา สศก. ได้บูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จัดการและเชื่อมโยงในระดับแปลง เกษตรกร และพื้นที่ มีการเก็บข้อมูลเพิ่มเติมในทุกระดับ โดยสร้าง Platform เก็บข้อมูลที่สะดวกและรวดเร็วขึ้น เช่น การใช้ Mobile Technology เพื่อให้ได้ฐานข้อมูล Big Data ภาคเกษตรที่แม่นยำ รวดเร็ว ต่อเนื่องในทุกฤดูปลูก นอกจากนี้ ยังมี Web Tool และ Mobile Application ในการประมวลผลข้อมูลจาก Big Data เพื่อวางแผนเชิงพื้นที่ วางนโยบาย และเผยแพร่สู่ทุกภาคส่วนอย่างเข้าใจง่าย ซึ่งจากที่ สศก. ได้จัดทำ “โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลการเกษตร” สำหรับจัดเก็บ และบริการข้อมูลทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ และประมง จากหน่วยงานภาคีภายใต้บันทึกความร่วมมือระหว่าง 10 กระทรวง รวบรวมชุดข้อมูล (Datasets) นำมาจัดทำเป็นข้อมูลขนาดใหญ่ด้านการเกษตร และวิเคราะห์ในมิติต่างๆ และได้เปิดให้บริการผ่านเว็บไซต์ www.oae.go.th และ www.nabc.go.th ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ให้บริการ 5 ระบบ ประกอบด้วย 1) ระบบการบูรณาการข้อมู
สศก.เผย ล้งนิยมขนส่งทางบกเป็นหลัก แนะเลือกใช้รูปแบบการขนส่งให้เหมาะกับฤดูกาล-ความต้องการตลาด นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการศึกษารูปแบบการขนส่งทุเรียนสดจากประเทศไทยไปสาธารณรัฐประชาชนจีน ปี 2565 ซึ่ง สศก. ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการจัดทำแผนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตรของประเทศไทย ได้ดำเนินการศึกษารูปแบบและเส้นทางการขนส่งทุเรียนสดจากไทยไปจีน พร้อมทั้งพิจารณาข้อดี ข้อเสีย ของเส้นทางในแต่ละรูปแบบ โดยการศึกษาได้คัดเลือกจังหวัดจันทบุรี ซึ่งมีพื้นที่ปลูกทุเรียนมากที่สุดในประเทศ เป็นพื้นที่เป้าหมายของการศึกษา รวมทั้งลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลโดยวิธีการสัมภาษณ์ใน 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ประกอบธุรกิจโรงคัดบรรจุที่รวบรวมผลผลิตและส่งออกทุเรียนสดไปจีน ผู้ให้บริการขนส่งทุเรียนสดจากไทยไปจีนทั้งทางถนน ทางน้ำ และทางอากาศ และเจ้าหน้าที่รัฐ ที่รับผิดชอบการนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตรประจำด่านตรวจพืชและด่านศุลกากรที่เกี่ยวข้อง จากข้อมูลในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560-2564) พบว่า รูปแบบการขนส่งทุเรียน
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จากที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมขับเคลื่อนภาคเกษตรด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) หรือการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว สศก. ได้ทำการวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจของการนำวัสดุเหลือใช้จากมะพร้าวอ่อนมาใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องและพลังงานทางเลือก เพื่อศึกษาแนวทางในการส่งเสริมการบริหารจัดการวัสดุเหลือใช้จากมะพร้าวอ่อนตามแนวทางของ BCG Model รวมทั้งเก็บข้อมูลจากเกษตรกร โรงคัดบรรจุ ผู้รวบรวมเปลือกมะพร้าวอ่อน โรงไฟฟ้าชีวมวล กลุ่มทำปุ๋ย และกลุ่มทำถ่าน พบว่า เกษตรกรมีการนำสิ่งเหลือใช้จากมะพร้าวอ่อนมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ โดยนำสิ่งเหลือใช้ในสวนมะพร้าว เช่น ทางมะพร้าว ไปคลุมโคนต้นมะพร้าวอ่อนเพื่อเป็นปุ๋ย หรือนำไปหมักในท้องร่องเพื่อนำไปทำปุ๋ยใส่ต้นมะพร้าวในสวน สามารถช่วยลดค่าปุ๋ยได้ ขณะที่บริษัท/โรงคัดบรรจุมะพร้าว จะมีสิ่งเหลือใช้ เช่น เปลือก จั่น และทะลายมะพร้าว เป็นต้น ที่เหลือทิ้งและเอาไปถมที่ บางส่วนมีผู้รวบรวมเปลือกมะพร้าวเพื่อนำไปแปรรูปเป็นใยมะพร้าวก่อนนำไปเป็นชีวม
นายรัตนะ สวามีชัย เลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวบรรยายพิเศษ “บันทึกข้อตกลงทางวิชาการระหว่างสภาเกษตรกรแห่งชาติกับสำนักเศรษฐกิจการเกษตร” ด้วยระบบประชุมทางไกลผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดย นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นประธานเปิด ร่วมด้วยบุคลากรสำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ สำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัด และบุคลากรสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ จำนวน 595 คน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 มิถุนายน 2565 ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ และสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัด 77 จังหวัด
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ภายใต้กรอบเอเปค ซึ่ง สศก. เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น โดยการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ดังกล่าว เป็นการดำเนินงานตาม “แผนปฏิบัติการสำหรับกรอบยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาชนบทและเขตเมือง” ของคณะทำงานหุ้นส่วนเชิงนโยบายด้านความมั่นคงอาหาร ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย สมาชิกเอเปค 21 เขตเศรษฐกิจ ผู้แทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ยุวเกษตรกร องค์การระหว่างประเทศต่างๆ อาทิ มูลนิธิชัยพัฒนา โครงการระบบสารสนเทศเพื่อความมั่นคงทางอาหารแห่งภาคพื้นอาเซียน (ASEAN Food Security Information System: AFSIS) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) องค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve: APTERR) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) และบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) การจัดประชุมครั้งนี้ นับเป็นโอกาสของประเทศไทย ที่ได้เผยแพร่ผลสำเร็จของการดำเนินงานด้
นางกาญจนา แดงรุ่งโรจน์ รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการติดตามความคืบหน้า ผลการดำเนินงานของโครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตและการตลาดโคเนื้อรองรับ FTA ณ คอกกลาง (Central Feedlot) ของบริษัท พรีเมียม บีฟ จำกัด อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ซึ่งโครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตและการตลาดโคเนื้อรองรับ FTA มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพเพิ่มขีดความสามารถการผลิตโคเนื้อและเนื้อโคให้สามารถแข่งขันได้ พัฒนาประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์เพิ่มมูลค่า ลดต้นทุน สร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายการผลิตตลอดห่วงโซ่ ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถการตลาด สามารถแข่งขันรองรับผลกระทบที่จะเกิดจาก FTA ให้แก่กลุ่มเกษตรกร 4 เครือข่าย ได้แก่ 1) เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนโคเนื้อล้านนา จังหวัดเชียงราย 2) วิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงโคเนื้อคุณภาพดีตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ 3) เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนโคเนื้อไทย จังหวัดราชบุรี 4) วิสาหกิจชุมชนกลุ่มเครือข่ายพัฒนาโคเนื้อ จังหวัดตาก และบริษัท พรีเมียม บีฟ จำกัด มีระยะเวลาดำเนินการ 8 ปี ตั้งแต่ปี 2563-2571 วงเงินสนับสนุน 161.78 ล้านบาท โดยมีกรมปศุสัตว์ เป็นหน่วยงานรั
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “การจัดทำแผนปฏิบัติการภายใต้แผนงานความมั่นคงอาหาร มุ่งสู่ปี ค.ศ. 2030 ภายใต้กรอบเอเปค ในระหว่างวันที่ 28-29 มีนาคม 2565 ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ และผ่านระบบการประชุมทางไกล โดย สศก. เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม พร้อมด้วยสมาชิกเอเปค 21 เขตเศรษฐกิจ ผู้แทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาเกษตรกรแห่งชาติ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) และสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC) เข้าร่วมประชุม การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมในแผนงานความมั่นคงอาหารมุ่งสู่ปี ค.ศ. 2030 ของเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปค ภาครัฐ ภาคเอกชน คณะทำงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงอาหาร รวมถึงองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องอื่นๆ โดยข้อมูลที่ได้รับการประชุมเชิงปฏ
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้า (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิส ติกส์ภาคการเกษตร ระยะ 5 ปี ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การเกษตร ในคราวการประชุม ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งมี ดร. ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานอนุกรรมการฯ เป็นประธานการประชุม ได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร (พ.ศ. 2566-2570) ตามที่ สศก. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์สาขาเกษตรเชื่อมโยงกับแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย (พ.ศ. 2566-2570) ที่ดำเนินการโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำหรับสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ภาคการเกษตร มีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ภาคการเกษตร ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์เกษตรของภูมิภาคอาเซียน” มีตัวชี้วัด ได้แก่ ต้นทุน โลจิสติกส์สินค้าเกษตรที่สำ
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า การสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานราก เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยในปีงบประมาณ 2565 กระทรวงเกษตรฯ ได้ดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งกลุ่มการผลิตด้านการเกษตร โดยเป็นโครงการหนึ่งภายใต้แผนงานบูรณาการเศรษฐกิจฐานราก มี กรมหม่อนไหม และกรมส่งเสริมการเกษตร เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก จะดำเนินการถ่ายทอดองค์ความรู้และมอบปัจจัยสนับสนุนตามความต้องการของเกษตรกรแต่ละกลุ่ม เป้าหมายกลุ่มเกษตรกร 559 กลุ่ม 77 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรมีความเข้มแข็ง รวมกลุ่มกันผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น พึ่งพาตนเองได้ตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง แบ่งเป็น กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม 20 กลุ่ม กลุ่มส่งเสริมอาชีพการเกษตร 154 กลุ่ม กลุ่มยุวเกษตรกร 154 กลุ่ม และกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร 231 กลุ่ม ในการนี้ สศก. ได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการฯ ช่วงไตรมาส 1 (ตุลาคม-ธันวาคม 2564) พบว่า สามารถดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพกลุ่มเกษตรกรได้จำนวน 98 กลุ่ม (ร้อยละ 18 ของเป้าหมาย 559 ก