สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ออกประกาศ ฉบับที่ 3/2568 ว่า กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ได้คาดการณ์ว่า มีพื้นที่บางส่วนเสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำเนื่องจากระบายไม่ทัน ในช่วงวันที่ 10 – 13 พฤษภาคม 2568 ดังนี้ 1. พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขัง ในเขตชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำเนื่องจากระบายไม่ทัน บริเวณ จังหวัดนนทบุรี (อำเภอเมืองนนทบุรี บางใหญ่ บางกรวย และปากเกร็ด) จังหวัดปทุมธานี (อำเภอลำลูกกาและคลองหลวง) จังหวัดสมุทรปราการ (อำเภอเมืองสมุทรปราการ บางพลี บางบ่อ และพระสมุทรเจดีย์) และกรุงเทพมหานคร 2. พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม ดังนี้ 2.1 ภาคเหนือ บริเวณ จังหวัดแม่ฮ่องสอน (อำเภอปาย และปางมะผ้า) จังหวัดเชียงใหม่ (อำเภอแม่แตง เชียงดาว เวียงแหง พร้าว แม่อาย ฝาง ไชยปราการ จอมทอง สะเมิง แม่วาง และแม่ริม) จังหวัดเชียงราย (อำเภอเมืองเชียงราย แม่ฟ้าหลวง แม่สรวย แม่สาย เชียงแสน เทิง และพาน) จังหวัดพะเยา (อำเภ
สทนช. ชี้ 2 สัปดาห์แรกของเดือน ต.ค. 67 ฝนภาคเหนือและอีสานจะลดลง ขยับลงมาตกในพื้นที่ภาคกลางและใต้ เร่งวางแผนทุกลุ่มน้ำเพิ่มพื้นที่รองรับฝนปลายฤดู พร้อมยังคงต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงในการเกิดพายุช่วงฤดูฝนนี้อีก 1 ลูก เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 67 นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามและประเมินสถานการณ์น้ำประจำสัปดาห์ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมชลประทาน การประปานครหลวง สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น เข้าร่วมการประชุม ณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายฐนโรจน์ วรรัฐประเสริฐ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สทนช. เปิดเผยผลการประชุมว่า จากการประเมินสถานการณ์ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยาและ สสน. พบว่าในช่วง 2-3 ต.ค.67 ยังมีฝนตกหนักในพื้นที่ จ.เชียงใหม่และเชียงราย จึงต้องเฝ้าระวังอย่า
สทนช. ขานรับนโยบาย “รองนายกฯ ภูมิธรรม” ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการข้อมูลสถานการณ์น้ำฝนและน้ำท่า วางแผนรับมืออุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เฝ้าระวังควบคุมปริมาณน้ำ 4 จุดเสี่ยง พอใจผลซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ มั่นใจจะช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตร นิคมอุตสาหกรรม พื้นที่เศรษฐกิจ และปกป้องโบราณสถานมรดกโลกได้อย่างแน่นอน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ตามที่ สทนช. ได้บูรณาการติดตามสถานการณ์น้ำฝนและน้ำท่า ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พบว่า ปริมาณฝนในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน 2567 จะมีร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคกลาง ซึ่งจะทำให้พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยามีปริมาณฝนตกมากกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 20 และเมื่อรวมกับปริมาณฝนที่ตกสะสมมาตั้งแต่ต้นฤดู จะส่งผลให้ปริมาณน้ำในลำน้ำต่างๆ ยกระดับสูงขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะน้ำหลากในช่วงเดือนสิงหาคมและมีความเสี่ยงน้ำมากในช่วงเดือนกันยายน โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างที่จะได้รับผลกระทบจากน้ำไหลหลาก บวกกับอิทธิพลจากน้ำทะเลหนุนสูง จึงเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจะเกิดสถานการณ์อุทกภัยได
สทนช. บูรณาการวางแผนเชิงรุกรับมือฤดูฝนลุ่มน้ำเจ้าพระยาพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ เผยปรากฏการณ์ลานีญาเริ่มชัดเจนมากขึ้น คาดฝนตกหนักช่วงปลายฤดูเดือนสิงหาคม-กันยายน เตรียมจัดจราจรการระบายน้ำ ใช้พื้นที่บางระกำ บึงราชนก และบึงบอระเพ็ด เป็นแก้มลิงหน่วงน้ำไว้ให้ได้มากที่สุด พร้อมดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมบริหารจัดการน้ำและสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะโฆษก สทนช. กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาว่า หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา สถานการณ์ฝนได้ตกเพิ่มขึ้นและตกหนักบางแห่ง ในพื้นภาคเหนือซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำของ 4 เขื่อนใหญ่ (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) ที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ยังมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนไม่มากนัก น้อยกว่าปริมาณน้ำที่ระบายออก เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ปริมาณความชื้นในดินยังไม่อิ่มตัว ฝนที่ตกลงมาจะซึมลงในดินเกือบทั้งหมด ทำให้มีปริมาณน้ำท่าที่ไหลลงอ่างเก็บน้ำยังน้อยก
นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ออกประกาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ฉบับที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก ในช่วงวันที่ 18-25 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ จากการติดตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่าจะมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณอ่าวมะตะบัน ประเทศเมียนมา และมีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้น จะทำให้ด้านตะวันตกของภาคเหนือและภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกหนักถึงหนักมาก สทนช. ได้ประเมินวิเคราะห์สถานการณ์น้ำตามฝนคาดการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำหลากและพื้นที่เสี่ยงดินโคลนถล่มบริเวณต้นน้ำ จากกรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรธรณี พบว่ามีพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก และบริเวณชุมชนเมืองที่เกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำเนื่องจากระบายไม่ทันเพิ่มเติม ในช่วงวันที่ 22-26 พฤษภาคม 2567 ดังนี้ 1. ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย (อำเภอเมืองเชียงราย แม่สรวย พาน เทิง เชียงของ และเวียงป่าเป้า) จังหว
สทนช. สร้างความมั่นคงด้านน้ำในพื้นที่ EEC เดินหน้าการบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฤดูแล้งปีนี้ เร่งขับเคลื่อนการสร้างสมดุลในจัดสรรน้ำอย่างยั่งยืนให้ทุกภาคส่วน ทั้งการอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรม และการเกษตร ตามมติคณะกรรมการลุ่มน้ำ มั่นใจน้ำมีเพียงพอใช้ตลอดช่วงฤดูแล้งนี้ และมีสำรองใช้ในช่วงต้นฤดูฝนและภาวะฝนทิ้งช่วงอีกด้วย นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะโฆษก สทนช. เปิดเผยว่า จากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศโลก ทำให้ก่อเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญอย่างเด่นชัดในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา และถือเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีเพียงพอตามลำดับความสำคัญตลอดฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นฐานการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในด้านต่างๆ สทนช. ได้ดำเนินการวางแผนการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานด้านน้ำที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อให้น้ำซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญให้เพียงพอกับความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ EEC โดยยึดหลักก
สทนช. พบไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อนจนถึง 30 มีนาคมนี้ ก่อนฝนจะกลับมาช่วยลดร้อนอีกครั้งช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษายน 2567 ด้านสถานการณ์ระดับน้ำโขงเปลี่ยนแปลงฉับพลันจากการระบายน้ำของเขื่อนจิ่งหง ขณะนี้ยังไม่พบผู้ได้รับผลกระทบ แต่จะติดตามเฝ้าระวังใกล้ชิด เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2567 ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยผลการประชุมประเมินสถานการณ์น้ำประจำสัปดาห์ว่า ในระยะนี้ประเทศไทยมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน โดยเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 มีฝนตกมากในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และหลังจากนี้ยังมีโอกาสจะเกิดฝนในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้ด้วย อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝนดังกล่าวจะค่อยๆ ลดลงในวันที่ 30 มีนาคม 67 ก่อนจะมีแนวโน้มที่ฝนจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนเมษายน ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะสามารถช่วยลดอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ ปริมาณฝนจะเริ่มตกมากตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 แต่คาดว่าอาจจะเกิดสถานการณ์ฝนทิ้งช่วงได้ประมาณเดือนกรกฎาคม 2567 ในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่ง สทนช. และหน่วยง
หลังจาก ครม. ไฟเขียวกฎกระทรวงเก็บค่าใช้น้ำประเภทที่ 2 และ 3 โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้แล้ว สทนช. เผยประชาชนและเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในประเภทที่ 1 ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ แต่จะใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำปลูกจิตสำนึกให้รู้คุณค่าน้ำและการใช้น้ำอย่างประหยัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับประเทศ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะรัฐมนตรีได้ เห็นชอบกฎกระทรวงภายใต้ภายใต้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 จำนวน 5 ฉบับได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ประกอบด้วย กฎกระทรวงที่เสนอโดย สทนช. 3 ฉบับ คือ กฎกระทรวงกำหนดลักษณะการใช้น้ำแต่ละประเภท พ.ศ. 2567 กฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สอง และใบอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่สาม พ.ศ. 2567 และกฎกระทรวงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าใช้น้ำ การเรียกเก็บ ลดหย่อน และยกเว้นค่าใช้น้ำ สำหรับการใช้น้ำประเภทที่สองและการใช้น้ำประเภทที่สาม พ.ศ. 2567 ส่วนอีก 2 ฉบับเสนอโดยกระทรวงทรัพยากรธรรม
กอนช. ถกเข้มแผนบริหารจัดการน้ำปี 67 เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ภัยแล้งแบบเชิงรุก คาดครึ่งปีแรกฝนน้อยจากอิทธิพลเอลนีโญ สั่งเกาะติดฝนรายเดือนพร้อมปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ย้ำทุกหน่วยอย่าประมาทสงวนน้ำให้มากที่สุด ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) กล่าวว่า จากอิทธิพลของสถานการณ์เอลนีโญทำให้ประเทศไทยมีภาพรวมปริมาณฝนทั้งประเทศต่ำกว่าค่าปกติอยู่มาก และคาดการณ์ในครึ่งปีแรกจะมีปริมาณฝนน้อยกว่าค่าปกติค่อนข้างมาก โดยมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางที่ต้องเฝ้าระวังน้ำน้อยอยู่ 98 แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือถึง 40 แห่ง ภาคเหนือ 25 แห่ง ภาคตะวันออก 13 แห่ง ภาคตะวันตก 9 แห่ง ภาคกลาง 7 แห่ง รวมถึงภาคใต้ที่แม้ในภาพรวมจะมีปริมาณฝนค่อนข้างมาก แต่เนื่องจากภาคใต้ตอนบนและตอนกลางยังคงมีฝนตกน้อย ทำให้มีแหล่งน้ำเฝ้าระวังน้ำน้อย 4 แห่ง โดยขณะนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2566/67 ทั้งในเชิงป้องกันและแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งได้เน้นย้ำให้มีการรักษาปริมาณน้ำต้นทุนไว้ให้มากที่สุดโดยไม่ป
สทนช.ติดตามความก้าวหน้าและวางแผนสำรองน้ำต้นทุน ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ณ “อ่างเก็บน้ำคลองกะทะ” “โครงการวางท่อน้ำดิบพร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำ (คลองกะทะ) เพื่อสูบผันน้ำในฤดูฝนไปผลิตน้ำประปาและรักษาน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ” ณ สถานีผลิตน้ำคลองกะทะ การประปาส่วนภูมิภาค สาขาภูเก็ต “ขุมน้ำประปาเทศบาลตำบลเชิงทะเล” และ “โครงการแก้มลิงบ้านโคกโตนดพร้อมระบบผันน้ำไปยังอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ” โดยคาดว่าโครงการข้างต้น จะช่วยสำรองน้ำต้นทุนของจังหวัดภูเก็ตได้กว่า 0.85 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ต่อปี วันนี้ (19 กันยายน 2565) นายสราวุธ ชีวะประเสริฐ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าและติดตามผลการการศึกษาของโครงการ ซึ่ง สทนช. อยู่ระหว่างดำเนินการโครงการศึกษาแผนหลักแบบบูรณาการเพื่อการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งพื้นที่เฉพาะ (Area based) เกาะภูเก็ต โดยได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยนเรศวรและกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการศึกษา ด้านการจัดทำแผนหลักแบบบูรณาการ แนวทางการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการที่ครอบคลุมตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ทั้ง 6 ด้าน ตลอดจนรวบรวม