อ้อย
อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่ปลูกง่าย ทนแล้ง ขึ้นได้ดีกับดินเกือบทุกชนิด ที่สำคัญมีแหล่งรับซื้อที่แน่นอน แต่อ้อยเป็นพืชที่สามารถเก็บเกี่ยวได้เพียงปีละครั้ง ดังนั้น เพื่อให้การปลูกอ้อยในแต่ละรอบการผลิตเกิดประโยชน์สูงสุด เกษตรกรจึงต้องมีการวางแผนและเตรียมการปลูกมากมาย เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมดิน การวางระบบน้ำ การบำรุงใส่ปุ๋ย เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี อ้อยลำใหญ่ ใบเขียว ความหวานสูง น้ำหนักดี สร้างผลกำไรงาม คุณอดุลย์ นาเฟีย เกษตรกรมืออาชีพ มีประสบการณ์ปลูกอ้อยมานานกว่า 20 ปี ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกอ้อยพันธุ์ขอนแก่น3 จำนวน 280 ไร่ ในพื้นที่อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น ให้ความสำคัญกับระบบน้ำ และการบำรุงใส่ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ ไว้วางใจใช้ปุ๋ยซอยล์เมตในไร่อ้อยมานานกว่า 10 ปี เพราะใช้แล้วเห็นผลจริง ไม่ต้องใส่บ่อย ใส่ 2 ครั้งเอาอยู่ ประหยัดเวลา ลดต้นทุน ผลผลิตสูง 25 ตันต่อไร่ “ใส่ปุ๋ยที่ใช่ ให้น้ำที่ชอบ” แค่นี้อ้อยก็ถูกใจ ผลกำไรก็งอกงาม แม้ว่าอ้อยจะเป็นพืชที่ปลูกง่าย ทนแล้ง แต่หากขาดการดูแลเอาใจใส่ก็ไม่สามารถให้ผลผลิตที่ดีได้ โดยเคล็ดลับการปลูกอ้อยของคุณอดุลย์อยู่ที่การดูแลเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ รดน้ำใ
คุณชัยวิชท์ ทาสีดำ หรือ โย และ คุณทิพยาภรณ์ สอนประเทศ หรือ ดา สองสามีภรรยาชาวหนองบัวลำภู อดีตพนักงานประจำ ลาออกจากงานมาเป็นเกษตรกรปลูกอ้อยสุพรรณบุรี 50 คั้นน้ำขาย สร้างรายได้เลี้ยงครอบครัววันละ 3,000-5,000 บาท คุณดา เล่าให้ฟังว่า จุดเริ่มต้นของการประกอบอาชีพคั้นน้ำอ้อยขาย เกิดจากที่สามีของตนเองคือคุณโย เคยทำงานประจำเป็นเจ้าหน้าที่ส่งเสริมโรงงานน้ำตาลมาก่อนเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี เห็นการใช้สารเคมีในอ้อยค่อนข้างเยอะทำให้เกิดแรงจูงใจอยากทำเกษตรแบบปลอดสาร และอีกเหตุผลคืออยากที่จะมีทางเลือกมีช่องทางการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมาไม่สามารกำหนดราคาขายเองได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนปลูกเอง จึงกลับมาคิดทบทวนว่าจะทำอย่างไรที่เมื่อปลูกอ้อยแล้วไม่ต้องเอาไปส่งให้กับโรงงานเพียงอย่างเดียว โดยที่คุณภาพและราคาเป็นคนกำหนดเอง อุปสรรคช่วงเริ่มต้นมีมากมาย ผ่านมาได้เพราะความตั้งใจ หลังจากที่ตัดสินใจจะเลิกส่งอ้อยให้กับโรงงาน คุณดา เล่าให้ฟังว่า ตนเองและสามีเริ่มจากการช่วยกันศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมก่อนว่าอ้อยที่ปลูกนอกจากส่งโรงงานแล้วสามารถนำมาทำอะไรได้อีก จนได้ค้นพบว่าสามารถเอามาทำอ้อยก้อนได้ ก็ไม่รอช้าที่จะลงมื
“อ้อยคั้นน้ำ” เป็นพืชที่กำลังได้รับความสนใจจากเกษตรกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากอุตสาหกรรมน้ำอ้อยพร้อมดื่มมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ปัจจุบันมีเกษตรกรหันมาปลูกอ้อยเพื่อคั้นน้ำพร้อมดื่มและน้ำอ้อยพาสเจอไรซ์เพื่อจําหน่ายไปทั่วทุกภาคของประเทศ แต่ปัจจัยสำคัญของการปลูกอ้อยคั้นน้ำคือ ต้องมีการจัดการด้านพันธุ์ที่ดี มีการดูแลรักษาและการเก็บ ตลอดจนการขนส่งเพื่อให้ได้อ้อยคั้นน้ำที่มีคุณภาพ คุณนีมดา หรือ คุณเสาวรส สันประเสริฐ เป็นหนึ่งในเกษตรกรรุ่นใหม่ที่หันหลังให้กับแสงสีในเมืองหลวง เพื่อเดินหน้าสร้างแหล่งอาหารให้กับตัวเองและครอบครัวด้วยการปลูกอ้อยคั้นน้ำและขายพันธุ์ โดยเริ่มต้นจากการทำสวนเกษตรพืชผสมผสานบนที่ดินของตัวเองในเขตหนองจอก ผืนนาผืนสุดท้ายของกรุงเทพมหานคร แต่ก่อนที่คุณนีมดาจะมาเป็นเกษตรกรอย่างที่เห็น เธอเคยทำงานเป็นพร็อพมาสเตอร์ งานกองถ่าย และเป็นนักเขียนคอลัมน์ ตามที่ศึกษาเล่าเรียนมา เธอใช้ชีวิตเหมือนคนทำงานปกติทั่วไป คือมีความสนุกกับงาน แต่วันหนึ่งเธอเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันวนอยู่ในลูปเดิม จึงใช้จิตถามตัวเองว่า สิ่งที่ชีวิตเธอต้องการ คืออะไร “เราใช้เวลาอยู่ 3 วัน ในวันที่เราคิด นอนมองเพดาน
‘ภาวะโลกร้อน’ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ฉุดผลผลิตอ้อยหด กรมวิชาการเกษตร แนะสูตร ชาวไร่ปลูกอ้อยเพิ่มผลผลิต10% ต้องวิเคราะห์ดินลดต้นทุนปุ๋ย 20% วันที่ 8 สิงหาคม 2567 นายอนุสรณ์ เทียนศิริฤกษ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร (กวก.) เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยเฉพาะวิกฤตแล้งกระทบโดยตรงต่อผลผลิตอ้อย ช่วงต้นปี 2567 เกิดความแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วงในบางพื้นที่ ทำให้ผลผลิตอ้อยเฉลี่ยต่อไร่ลดลง ทั้งปีคาดมีปริมาณมี 85.78 ล้านตัน มูลค่าการผลิตรวม 123,311.50 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย (ม.ค. – มิ.ย.) 1,438 บาท/ตัน “กลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา มีหน้าที่แนะนำการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินเป็นการใช้ปุ๋ยให้ตรงกับระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน เหมาะสมตามความต้องการของอ้อย สามารถใช้ปุ๋ยได้ถูกอัตรา” ซึ่งพื้นที่ที่เหมาะสมที่จะปลูกอ้อย ต้องมีโครงสร้างดี ควรมีเนื้อดินร่วนปนทรายถึงร่วนเหนียว ค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน (pH) เป็นกรดจัดถึงด่างเล็กน้อย (5.5-7.5) อินทรียวัตถุ 1.5-2.5 % ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ 10-20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ 80-150 มิลลิกรั
นายอนุสรณ์ เทียนศิริฤกษ์ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร (กวก.) เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ โดยเฉพาะวิกฤตแล้งกระทบโดยตรงต่อผลผลิตอ้อย ช่วงต้นปี 2567 เกิดความแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วงในบางพื้นที่ ทำให้ผลผลิตอ้อยเฉลี่ยต่อไร่ลดลง ทั้งปีคาดมีปริมาณมี 85.78 ล้านตัน มูลค่าการผลิตรวม 123,311.50 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย (ม.ค. – มิ.ย.) 1,438 บาท/ตัน กลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา มีหน้าที่แนะนำการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินเป็นการใช้ปุ๋ยให้ตรงกับระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน เหมาะสมตามความต้องการของอ้อย สามารถใช้ปุ๋ยได้ถูกอัตรา ดังนั้น พื้นที่ที่เหมาะสมที่จะปลูกอ้อย ต้องมีโครงสร้างดี ควรมีเนื้อดินร่วนปนทรายถึงร่วนเหนียว ค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน (pH) เป็นกรดจัดถึงด่างเล็กน้อย (5.5-7.5) อินทรียวัตถุ 1.5-2.5 % ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ 10-20 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โพแทสเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ 80-150 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เป็นต้น หากพื้นที่ปลูกอ้อยเป็นดินทรายหรือร่วนปนทรายโดยทั่วไปจะมีอินทรียวัตถุในปริมาณต่ำ ควรปรับปรุงดินด้วยวัสดุอินทรีย์ เช่น กากตะกอนหม้อกรองอ้อย 1,00
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมวิชาการเกษตรได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยพืชไร่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยที่มีศักยภาพในการดูดซับก๊าซเรือนกระจกและกักเก็บคาร์บอนไว้ในพืชและในดินเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการร่วมมือเพื่อป้องกันปัญหาภาวะโลกร้อน (Global Warming) และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งเป็นบทบาทและภารกิจที่สำคัญอีกด้านหนึ่งของกรมวิชาการเกษตร โดยนอกเหนือจากพื้นที่ป่าไม้แล้วพื้นที่เพาะปลูกพืชยังเป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกและกักเก็บคาร์บอนที่สำคัญเช่นกัน อ้อย เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย โดยข้อมูลในปี 2563/2564 ที่มีพื้นที่ปลูกอ้อยรวม 10.8 ล้านไร่ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะกักเก็บคาร์บอนไว้ในระบบปลูกอ้อยได้ และสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ โดยกระบวนการสังเคราะห์แสงและนำมาสะสมในรูปของมวลชีวภาพในส่วนต่าง ๆ ของอ้อย จากการประเมินศักยภาพการดูดซับก๊าซเรือนกระจกและการกักเก็บคาร์บอนในพืช พบว่า อ้อยแต่ละพันธุ์มีศักยภาพการดูดซับก๊าซเรือนกระจกและการกักเก็บคาร์บอนแตกต่างกันขึ้นอยู่กับระยะการเจริญเติบโตของพืช ตำแหน่งใบ สภาพพ
อาชีพเกษตรกรรมเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ท้าทาย เกษตรกรเจ้าของสวนต่างต้องหาวิธีดัดแปลงปรับเปลี่ยน หรือคิดพลิกแพลงพื้นที่ในการทำเกษตรอยู่เสมอเพื่อความอยู่รอดให้ทันยุคทันสมัย ไม่ใช่เพียงปลูกอย่างเดียวขายอย่างเดียว แต่ต้องมีพืชอย่างอื่นมารองรับกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง คนที่ไม่หยุดนิ่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดในยุคนี้ คุณประกอบ ศรีวะรมย์ อยู่บ้านเลขที่ 68 ตำบลโคกกรวด อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก เกษตรกรผู้ไม่หยุดนิ่งทำเกษตรผสมผสาน และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนพืชที่ปลูกอยู่ตลอดเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งผลที่ได้รับนับเป็นที่น่าพอใจ ข้อแรกคือมีกิน ถัดมาก็มีรายเข้าบ้านทุกวัน ทุกเดือน และทุกปี รวมถึงมีเงินเก็บด้วย มาดูกันว่าเขามีวิธีการจัดการสวนอย่างไรบ้าง คุณประกอบ เล่าว่า ตนเองทำเกษตรผสมผสานบนพื้นที่ 5 ไร่ 3 งาน ปลูกทุกอย่างที่กิน ทำทุกอย่างที่สามารถสร้างรายได้ โดยที่สวนจะแบ่งพื้นที่ 1 ไร่แรกแบ่งปลูกบ้าน สร้างโรงเรือน สร้างโรงสีข้าวเล็กๆ แล้วก็ปลูกผักสวนครัว จากนั้นเมื่ออยู่ตัวก็เริ่มซื้อที่เพิ่ม ค่อยๆ ขยับขยายไปเรื่อยๆ ตามสภาพ ปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เผาถ่าน ปลูกข้าว สร้างรายได้หมุนเวียน มี
อ้อยไข่ ท่านผู้อ่านคงจะแปลกใจในชื่อไม่น้อย ที่มาของชื่อ อ้อยไข่ คำว่า “อ้อย” คือลำต้นคล้ายต้นอ้อย หรือต้นหญ้า ต้นอ้อ และ คำว่า “ไข่” คือ สีเหลืองเหมือนไข่แดงของไข่ต้ม และฝักที่เกาะกันคล้ายไข่ปลาสวายหรือไข่ปลาตะเพียนเป็นลิ่มและเกาะกันคล้ายกะหล่ำดอก รสชาติหวานกว่ากะหล่ำดอก จึงทำให้ผู้คนสนใจในพืชชนิดนี้และอยากจะศึกษาเรียนรู้เพื่อที่จะนำมาต่อยอดเป็นพืชผักสวนครัว ที่ให้รสชาติหวาน หอมกลิ่นเฉพาะตัว และอร่อยมาก คุณอำไพ นันติวงค์ชัย หลังบ้านของข้าราชเกษียณอายุ จากอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ใช้เวลาว่างหลังเกษียณมาทำไร่นาสวนผสม ปลูกต้นไม้ที่คิดว่าปลูกได้และส่งเสริมให้คนมีรายได้นำไปต่อยอดเพื่อทำเป็นผลิตผลการเกษตรขาย “ปลูกอ้อยไข่ ไว้รับประทาน รสชาติอะร้อย อะหร่อย…ไม่ผิดหวังเลยค่ะ มีความหอม หวาน รวมรสชาติของหลายผักไว้ในตัว เช่น กะหล่ำดอก หน่อไม้ฝรั่ง ยอดมะพร้าวอ่อน…” คุณอำไพ กล่าว พืชแปลกที่แปลกเฉพาะในเมืองไทย แต่เป็นพืชผักที่เป็นของพื้นบ้านของชาวอินโดนีเซียและมาเลเซีย มีรสหวานเล็กน้อยเหมือนกะหล่ำดอก รสชาติที่เข้ากันได้ดีกับเมนูอาหารไทย โดยเฉพาะแกงเผ็ดทั้งหลาย ที่มีรสชาติใกล้เคียงกันกับ
กรมวิชาการเกษตร เปิดตัวอ้อยคั้นน้ำพันธุ์ใหม่ “กวก. สุพรรณบุรี 1” หลังนักวิจัยใช้เวลาปรับปรุงพันธุ์ 17 ปี หวังเป็นทางเลือกใหม่หลังเกษตรกรใช้พันธุ์ดั้งเดิมนานกว่า 20 ปี ส่อเกิดปัญหาพันธุ์เสื่อม สะสมโรคและแมลง โชว์พันธุ์ใหม่ให้ผลผลิตสูงทั้งน้ำอ้อยและผลผลิตอ้อย สีน้ำอ้อยเหลืองอมเขียว กลิ่นหอม และรสชาติหวาน ถูกใจผู้บริโภค นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ในประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกอ้อยคั้นน้ำประมาณ 120,000 ไร่ กระจายทั่วทุกภาคของประเทศ โดยนิยมนำอ้อยคั้นนำมาบริโภคเป็นน้ำอ้อยสดและนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อีกมากมาย เช่น น้ำเชื่อมอ้อย น้ำตาลอ้อยก้อน และน้ำตาลอ้อยผง ซึ่งมีการนำไปผลิตในระดับอุตสาหกรรมในครัวเรือน และอุตสาหกรรมระดับท้องถิ่น เช่น กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยพันธุ์อ้อยคั้นน้ำที่เกษตรกรนิยมปลูกในปัจจุบัน ได้แก่ พันธุ์สุพรรณบุรี 50 ซึ่งเป็นพันธุ์ดั้งเดิมได้รับการรับรองพันธุ์ในปี 2539 ปลูกกันมายาวนานมากกว่า 20 ปี ซึ่งการที่เกษตรกรใช้อ้อยพันธุ์เดิมปลูกติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้มีความเสี่ยงจากการเสื่อมของพันธุ์มีการสะสมโรคและแมลง อาจสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรเป็นอย่าง
“อ้อยคั้นน้ำ” หรือ “น้ำอ้อยสด” ที่บรรจุในขวดแช่เย็นไว้ดื่มยามอากาศร้อน ยามร่างกายเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานหรือการเดินทาง น้ำตาลจากน้ำอ้อยสดๆ สามารถทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นได้ทันทีที่ดื่ม “อ้อย” เป็นพืชทนแล้งที่ใช้น้ำน้อย บางพันธุ์นำผลผลิตส่งโรงงานแปรรูปเป็นน้ำตาล บางพันธุ์เหมาะจะนำมาบริโภคสด ด้วยการหีบเป็นน้ำอ้อยสดพร้อมดื่ม การปลูกอ้อยมีทั้งปลูกแบบสวนหลังบ้านและปลูกในเชิงการค้า อ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญที่ช่วยยกระดับรายได้สู่ความมั่นคง “อ้อยคั้นน้ำสุพรรณบุรี 50” มีลักษณะลำต้นสีเขียวอมเหลือง ลำปล้องทรงกระบอก หัวท้ายเสมอค่อนข้างยาวถึงยาวมาก ไม่มีร่องหรือรอยบุ๋มบริเวณตาหรือข้อ อายุเก็บเกี่ยว 8-10 เดือน หลังปลูก ซึ่งถือว่าเป็นระยะให้น้ำ คุณภาพและปริมาณมากที่สุด สามารถปลูกได้ในทุกภาคของประเทศและปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศตามท้องถิ่นได้ดี เจริญเติบโตเร็ว อัตราการแตกกอดี แตกได้มาก 12,000-12,500 ลำ ต่อไร่ มีความต้านทานโรคแส้ดำ โรคราใบขาว โรคลำต้นหรือไส้เน่าแดงและหนอนกออ้อยได้ดี คุณศิวาพัชร์ มั่นคงจรัลศรี อยู่บ้านเลขที่ 49 หมู่ที่ 10 ตำบลเที่ยงแท้ อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ปัจจุบัน ทำการเกษตรแบบผส