กรมวิชาการเกษตร
แหนแดงพันธุ์กรมวิชาการเกษตร ที่มีลักษณะต้นใหญ่กว่าแหนแดงพันธุ์พืชเมืองของบ้านเรา ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์พื้นเมืองถึง 10 เท่า และสามารถขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ภายใน 30 วัน จะให้ผลผลิตแหนแดงถึงไร่ละ 3 ตัน และเมื่อนำไปวิเคราะห์ค่าธาตุอาหาร แหนแดงพันธุ์นี้ จะมีค่าธาตุอาหารหลัก N-P-K ค่อนข้างสูง โดยมีไนโตรเจน อยู่ที่ 5% ฟอสฟอรัส (P) อยู่ที่ 0.8% และโปแตสเซียม (K) 5% เรียกว่า มีค่าธาตุอาหารสูงกว่าพืชตระกูลถั่ว ที่มีค่าไนโตรเจนเพียงแค่ 3%เท่านั้น และถ้าการปลูกถั่วไม่มีการนำเชื้อแบคทีเรียไรโซเบียมมาคลุกเคล้ากับเมล็ดพันธุ์ถั่ว ธาตุอาหารสำหรับพืชแทบจะไม่มีเลย แหนแดงไม่ต้องพึ่งพาไรโซเบียม เพราะใบของแหนแดงมีโพรงใบ เป็นที่อยู่อาศัยของสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินชนิดที่ตรึงไนโตรเจนจากอากาศมาไว้ในตัวได้ เลยทำให้แหนแดงมีค่าธาตุอาหารสูง สามารถที่จะนำมาใช้เป็นปุ๋ยพืชสด และเพื่อให้เหมาะที่จะนำไปเป็นปัจจัยการผลิตสำหรับบำรุงพืชเกษตรอินทรีย์ได้หลายชนิด เราต่อยอดนำไปตากแดดให้แห้งเพื่อให้นำไปใช้ได้สะดวกและเก็บได้นานขึ้น ปรากฏว่าค่าธาตุอาหารลดลงไปเล็กน้อยแค่ 0.5% เท่านั้น และเมื่อนำไปทดลองกับการปลูกผักกินใบ อย่างคะน
กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักบริหารและรับรองห้องปฏิบัติการ (สบร.) ให้บริการรับรองความสามารถห้องปฏิบัติการทดสอบตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025 พร้อมสนับสนุนและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นในผลการทดสอบสารย้อมสี Basic Yellow 2 (BY2) และแคดเมียม (Cadmium) ในทุเรียน จากเหตุผู้ประกอบการได้รับผลกระทบอย่างหนักเมื่อประเทศจีนตีกลับทุเรียนไทย และเพิ่มความเข้มงวดในข้อกำหนดเฉพาะเรื่องความปลอดภัยของอาหาร รวมถึงการตรวจสอบสารเคมีที่อาจมีการตกค้างหรือปนเปื้อนในผลิตผลทางการเกษตร เช่น สารกำจัดศัตรูพืช สารเร่งการเติบโต สารเคมีอื่นๆ โดยเฉพาะ Basic Yellow 2 (BY2) และ แคดเมียม (Cadmium) ซึ่งกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีแนวทางการออกใบรับรองสุขอนามัยพื้นฐานสำหรับการส่งออกทุเรียน โดยกำหนดสินค้าส่งออกไปประเทศจีนทุกตู้หรือชิปเม็นท์ ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2568 ต้องมีใบรายงานผลตรวจวิเคราะห์ (Test report) ของแคดเมียม และ สาร BY2 จากห้องปฏิบัติการที่กรมวิชาการเกษตรให้การยอมรับฯ มาแสดงต่อด่านตรวจเพื่อที่จะออกใบรับรองสุขอนามัยพืชทุกครั้
หากใครมีโอกาสเดินทางไปภาคใต้ อาจเคยรับประทานถั่วหรั่งต้มใส่เกลือ หนึ่งในอาหารว่างแสนอร่อย เมล็ดถั่วหรั่งใช้ต้มรับประทานเช่นเดียวกับถั่วลิสง เมล็ดอ่อนนิยมผัดแทนเมล็ดถั่วลันเตา ใช้ประกอบอาหารประเภทแกง หรือต้มซุปก็ดี จุดเด่นไม่พบเชื้ออัลฟาท็อกซิน แม้จะเก็บไว้เป็นเวลานานหลายสัปดาห์ เมล็ดถั่วหรั่งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยมีคาร์โบไฮเดรต 55-72% น้ำมัน 6-7% โปรตีน 18-20% นอกจากนี้ ยังมีสารเบต้าแคโรทีน ไทอะมีน ไรโบเฟลวิน ไนอะซิน วิตามินซี และมีสารเมทไธโอนีน ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายในปริมาณสูงกว่าถั่วชนิดอื่น ถั่วหรั่งมีใบรูปร่างใบหอก ก้านใบสีเขียวอมม่วง ลำต้นสีม่วงแดง ดอกสีเหลือง ผิวฝักมีสีขาวอมน้ำตาล เยื่อหุ้มเมล็ดสีแดง ดอกบานเมื่อมีอายุ 38 วัน มีเปอร์เซ็นต์กะเทาะเปลือกสูงถึง 73 เปอร์เซ็นต์ ฝักและเมล็ดเจริญเติบโตในดิน หลังจากผสมเกสรแล้วจะแทงเข็มส่งเมล็ดลงดิน พัฒนามาจนเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์ คล้ายกับถั่วลิสง โดย 1 ฝัก มีเพียงเมล็ดเดียว ถั่วหรั่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกา ในต่างประเทศเรียกว่า ถั่วคองโก ถั่วมาดากัสการ์ และถั่วแบมบารา แต่ไม่มีบันทึกไว้ว่ามีการนำมาปลูกในประเทศไทยตั้งแต่เม
เกษตรกรกลุ่มผู้ผลิตผัก ตำบลหนองพระ อำเภอวังทรายพูน และตำบลห้วยแก้ว อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร ที่มีรายได้หลักจากการปลูกถั่วฝักยาว เนื้อที่ 132 ไร่ ประสบปัญหาต้นทุนการผลิตสูงทั้งค่าเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมีและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตร สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 2 จ.พิษณุโลก (สวพ.2) จึงได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตรลงไปช่วยแก้ปัญหาในพื้นที่ให้กับเกษตรกร สามารถลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตถั่วฝักยาวให้มีผลผลิตเพิ่มเกือบเท่าตัว จากเดิมผลิตที่มีผลผลิตเฉลี่ย 2,000 กิโลกรัม/ไร่ หลังใช้เทคโนโลยีสูงขึ้นถึง 3,850 กิโลกรัมต่อไร่ รู้จัก 5 เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต “ ถั่วฝักยาว ” ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรพิจิตร แนะนำ 5 เทคโนโลยีการผลิตของกรมวิชาการเกษตรเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตถั่วฝักยาว ดังต่อไปนี้ 1.เทคโนโลยีปุ๋ยชีวภาพ ส่งเสริมเกษตรกรใช้ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟต 5 กิโลกรัม คลุกผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ 100 กิโลกรัม ให้เข้ากันแล้วใช้รองก้นหลุมพร้อมปลูกหรือใส่รอบโคนต้นถั่วฝักยาวที่อายุ 1-2 สัปดาห
กระเจี๊ยบเขียว เป็นพืชผักส่งออกที่มีความสำคัญของประเทศไทยอีกชนิดหนึ่ง มีเนื้อที่เพาะปลูกกระเจี๊ยบเขียวรวมทั้งประเทศจำนวน 3,797 ไร่ โดยตลาดการค้าหลักอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องการนำเข้าทั้งในรูปฝักสดหรือแช่เย็นและแช่แข็ง ที่ผ่านมา ประเทศไทยผลิตกระเจี๊ยบเขียว ไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดส่งออกและในประเทศ โดยอุปสรรคสำคัญ เกิดจากปัญหาการระบาดของศัตรูพืช และคุณภาพฝักไม่ได้ตามที่ตลาดญี่ปุ่นต้องการ ดังนั้นศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรกาญจนบุรี กรมวิชาการเกษตร จึงวิจัยและพัฒนาพันธุ์กระเจี๊ยบเขียวพันธุ์ใหม่ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยผสมข้ามพันธุ์ระหว่าง L09 x M14 ซึ่งเป็นสายพันธุ์คัดเลือกจากพันธุ์อินเดียที่ให้ฝักมีคุณภาพตามมาตรฐานการส่งออกและต้านทานต่อโรคเส้นใบเหลืองในปี 2558แล้วนำมาปลูกคัดเลือกร่วมกับลูกผสมอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสามารถคัดเลือกสายพันธุ์กระเจี๊ยบเขียว คือ “ พันธุ์ กวก.กาญจนบุรี 1”ที่มีลักษณะทางการเกษตรดี ให้ผลผลิตสูง ลักษณะฝักตรง สีเขียว-เขียวเข้มได้คุณภาพตามมาตรฐานการส่งออก และกลายเป็นพันธุ์แนะนำของกรมวิชาการเกษตร ผ่านการรับรองพันธุ์เมื่อวันที่ 26
27 มีนาคม 2568 สมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ จัดสัมมนาวิชาการ “พืชแก้ไข/ปรับแต่งยีน/จีโนม ที่ใกล้จะนำไปใช้ประโยชน์และการกำกับดูแล” สร้างการตระหนักรู้สู่สาธารณะชน โดยมีนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญร่วมเป็นวิทยากร ประกอบด้วย ผศ.ดร.ธัญญ์วนิช ธัญสิริวรรธน์ จากม.เกษตร วิทยาเขตสกลนคร , ดร.ปิยนุช ศรชัย สทช.กรมวิชาการเกษตร , ผศ.ดร.อนงค์ภัทร สุทธางคกูล ม.เกษตรศาสตร์ บางเขน , ดร.พงศกร สรรค์วิทยากุล สทช.กรมวิชาการเกษตร , ดร.ยี่โถ ทัพภะทัต ศูนย์พันธุวิศกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ และ ดร.ปิยรัตน์ ธรรมกิจวัฒน์ ผอ.สทช.กรมวิชาการเกษตร ดำเนินรายการโดยทนายวิชา ธิติประเสริฐ อดีต ผอ.สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร โดยมี ดร.นิพนธ์ เอี่ยมสุภาษิต นายกสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ กล่าวเปิดงาน ณ โรงแรมมารวย การ์เด้น กรุงเทพฯ ดร.นิพนธ์ เอี่ยมสุภาษิต นายกสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ เปิดเผยว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการแก้ไข/ปรับแต่งยีน/จีโนม ซึ่งเป็นเทคนิคที่เหนี่ยวนำการกลายพันธุ์ในสิ่งมีชีวิต ไม่มีการถ่ายฝากสารพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตอื่น มีความปลอดภัยและความแม่นย
กรุงเทพฯ, 26 กุมภาพันธ์ 2568 : นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดงาน “ก้าวสู่อนาคตเกษตรกรรมไทย ผ่านงานวิจัยด้วย AI Chatbot” ณ ห้องพระศิวะ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น พลิกโฉมการเกษตรไทย เปิดตัวนวัตกรรม AI Chatbot “ตัวช่วยอัจฉริยะ” ให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับการปลูกทุเรียนและมันสำปะหลังได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำ ผ่านเครื่องมือสืบค้นงานวิจัยด้านการผลิตพืชของกรมวิชาการเกษตร ที่รวบรวมความรู้ งานวิจัย เกี่ยวกับทุเรียนและมันสำปะหลัง ไว้อย่างครบถ้วน ให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจได้เรียนรู้ และนำไปใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตและสร้างรายได้ จากสองชนิดพืชเศรษฐกิจอันดับต้นของประเทศ ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจปีละกว่าหนึ่งแสนล้านบาทในแต่ละชนิด นายรพีภัทร์ เปิดเผยว่า ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเข้าสู่สังคมยุคดิจิทัล กรมวิชาการเกษตรพร้อมที่จะสนับสนุนบทบาทการนำดิจิทัลไปสู่งานวิจัย โดยกรมวิชาการเกษตรมีบทบาทสำคัญในเรื่องการวิจัยสินค้าเกษตรพืชพันธุ์ต่างๆ ซึ่งการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาสนับสนุน ประกอบกับแผนการจัดการเทคโนโลยีของประเ
กรมวิชาการเกษตรหนุนคนไทยเลี้ยง “ไข่ผำ ” พืชมูลค่าสูงสู่การใช้ประโยชน์เชิงการค้า โดยเดินหน้าถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลี้ยงไข่ผำสู่มาตรฐานพืชอาหาร GAP ให้แก่ผู้สนใจทั่วประเทศ.. เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 เทคโนโลยีชาวบ้าน ผู้นำสื่อออนไลน์ด้านการเกษตรครบวงจร และ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดงานสัมมนา ‘ไข่ผำ – วานิลลา: เจาะลึกโอกาสธุรกิจพืชเทรนด์ใหม่’ โดยนำเสนอเคล็ดลับการเพาะเลี้ยงพืชทั้งสองชนิด รวมทั้งวิเคราะห์ศักยภาพทางเศรษฐกิจและความต้องการของตลาด ซึ่งมีประชาชนเกือบ 300 คน สนใจเข้าฟังงานสัมมนา ณ ห้องประชุมหนังสือพิมพ์ข่าวสด ในวันและเวลาดังกล่าว อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ นโยบายการทำงานเชิงรุกของกรมวิชาเกษตรกร ภายใต้การนำของนายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ที่พูดคุยบนเวทีสัมมนาช่วง Special Talks ในหัวข้อ Renewable ปรับเกษตรไทย สู่เกษตรมูลค่าสูง ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ กรมวิชาการเกษตรกำหนดนโยบายในการพัฒนาสินค้าเกษตร รองรับภาวะโลกรวน และสร้างความมั่นคงทางอาหารในอนาคต ??? กรมวิชาการเกษตร มุ่งยกระดับการเกษตรไทยสู่ศูนย์กลางการเกษตร อาหารปลอดภัย และเป็
กรมวิชาการเกษตรเผยผลวิจัยการใช้ปุ๋ยให้เหมาะสม กับช่วงการเติบโตของวานิลลา โดยระยะแรกของการเจริญเติบโตทางลำต้น บำรุงด้วยปุ๋ยสูตร 27-11-11 ผสมปุ๋ยสูตร 46-0-0 และปุ๋ยอินทรีย์ ส่วนระยะการให้ดอก บำรุงด้วยปุ๋ยอินทรีย์ผสมปุ๋ยเคมี สูตร 46-0-0 ทุกเดือน หลังวานิลาให้ดอกแล้ว บำรุงด้วยปุ๋ยสูตร 8-8-24 ร่วมกับปุ๋ยสูตร 0-0-60 ทุกเดือน กรมวิชาการเกษตรได้ดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตวานิลา ภายใต้การนำของ หัวหน้าโครงการวิจัย คือ นางวราภรณ์ อุดมดี ( ปี พ.ศ. 2562) โดยมุ่งศึกษาวิจัยเรื่องการให้ปุ๋ยที่เหมาะสมกับช่วงการเจริญเติบโตของวานิลา ภายในศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตาก ต.แม่ท้อ อ.เมือง จ.ตาก ซึ่งมีการปลูกวานิลา สายพันธุ์ Vanilla planifolia Andrew. ที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง และเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในประเทศต่างๆ เช่น เม็กซิโก มาดากัสการ์ อินโดนีเซีย ฯลฯ โครงการวิจัยครั้งนี้ ได้ปลูกวานิลาพันธุ์ V. plonifolia (Andrews.) แบบใช้ค้าง (เสาซีเมน) สูง 2.5 เมตร ฝังดินลึก 0.5 เมตร เพื่อให้ค้างสูงประมาณ 2 เมตร พรางแสงโดยตาข่ายพรางแสง 50% ใช้ระยะปลูก 1.5 x 2เมตร ขุดหลุมปลูกขนาดกว้าง ยาว ลึ
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานเค้ก ให้แก่กรมวิชาการเกษตร เนื่องในโอกาสเถลิงศกใหม่ พุทธศักราช 2568 โดยมีนายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานสนองพระราชดำริ เข้าร่วมรับเค้กพระราชทาน ณ สำนักงานอธิบดีกรมวิชาการเกษตร สร้างความปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้