ผักสลัด
กว่าจะมาเป็น “สวนผักหลังบ้าน” ก่อนหน้านี้ทำมาแล้วหลายอย่าง แต่ที่ทำมาตลอดคือการปลูกผัก เริ่มต้นจากปลูกผักสวนครัวเก็บขายตลาดนัดแถวบ้าน จากความสงสัยผักสลัดที่อยู่บนจานสเต๊กทำไมราคาถึงแพง ลองหาข้อมูล ลองผิดลองถูกจากประสบการณ์จนประสบความสำเร็จ คุณปรเมนทร์ ประมะโข หรือ คุณต้น อยู่บ้านเลขที่ 27 หมู่ที่ 6 ตำบลโพธิ์ทอง อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด จากพ่อค้าขายผักเริ่มจากความชอบปลูกผัก เดิมปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ แต่ก็ได้ปรับเปลี่ยนเนื่องจากต้นทุนสูง จนปัจจุบันปลูกผักสลัดอินทรีย์เต็มตัว บนพื้นที่ 2 งาน ปลูกผักสลัดหลากหลายสายพันธุ์ เช่น กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค ผักสลัดแก้ว คอส บัตเตอร์เฮดก็มี และผักกาดหอมอิตาลี ทำรายได้หลักหมื่นต่อเดือน ผลตอบรับดีเกินคาด ออร์เดอร์เยอะไม่พอขาย คุณต้น บอกว่า เริ่มต้นที่จริงหลักร้อยก็สามารถเริ่มปลูกผักอินทรีย์ได้ ทำไม่ยาก ใครๆ ก็สามารถทำได้ ปัจจัยหลักของการปลูกผักอินทรีย์ เน้นการดูแลแบบธรรมชาติล้วนๆ ไม่ใช้ทั้งปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เน้นใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านในการเพาะปลูกอย่างการใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก เพื่อให้พืชแข็งแรงต้านโรคต้านศัตรูพืชได้ พัฒนาต่อยอดจากผักสด และขายเมล
“ไทบ้านฟาร์มเมอร์” ถือเป็นฉายาที่เกษตรกรคนเก่งท่านนี้ตั้งให้ตัวเอง ที่มาของคำแทนตัวเองว่าเป็นไทบ้านฟาร์มเมอร์ มาจากที่ตนเองเป็นคนต่างจังหวัด และมีวิถีชีวิตและหลักคิดในการทำเกษตรแบบบ้านๆ การสื่อสารกับผู้คนก็เป็นหลักคิดง่ายๆ เป็นกันเอง ชาวบ้านคนธรรมดาฟังแล้วรู้เรื่อง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงๆ คุณวุฒิพงษ์ พลอยวิเลิศ (พี่กระต่าย) เกษตรกรผู้มากความสามารถ อยู่บ้านเลขที่ 751 หมู่ที่ 14 ตำบลบัวขาว อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี ด้วยความสามารถที่ล้นเหลือ เขาเรียนจบปริญญาตรีภายในเวลา 3 ปีครึ่ง และมีบริษัทเข้ามาจองตัวไปทำงานทันที ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะห์คุณภาพ โรงงานน้ำตาลกาฬสินธุ์ แต่ชีวิตก็ไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะเป้าหมายในชีวิตคือการเป็นเกษตรกร แต่ด้วยเงินทุนที่มีจำกัด จึงจำเป็นต้องตั้งใจเรียนและวางแผนการศึกษาให้ดี จบให้เร็วและมีคุณภาพเพื่อให้ได้เข้าทำงานบริษัทที่มั่นคง พอที่จะหาเงินทุนมาทำตามความฝันได้ คุณวุฒิพงษ์ พลอยวิเลิศ (พี่กระต่าย) เส้นทางชีวิตเกษตรกรไทบ้าน ไม่ง่ายอย่างที่คิด ต้องทนแรงกดดัน และมีความมุ่งมั่นสูง พี่กระต่าย
คุณสมศักดิ์ จันทรักษ์ หรือ พี่ศักดิ์ เจ้าของสวนผักตาหวาน ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3 บ้านควนล่อน ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล อดีตเกษตรกรชาวสวนยาง ตัดสินใจโค่นต้นยางพารา เพื่อใช้พื้นที่มาทำโรงเรือนปลูกผัก ทำไปทำมาได้ผลดีเกินคาด พลิกชีวิตจากเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย สู่เกษตรกรตัวอย่างมีเงินเก็บเดือนละ 20,000-30,000 บาท จากการปลูกผักส่งห้างสรรพสินค้า พี่ศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนตนเองประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรทำสวนยาง สวนปาล์มน้ำมัน บนพื้นที่รวมทั้งหมดเกือบ 10 ไร่ แต่ในช่วงหลายปีหลังมานี้สถานการณ์ราคายางพาราไม่สู้ดีนัก ประสบปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย เพราะมีรายได้จากการกรีดยางเพียงวันละ 200-300 บาท ซึ่งถ้าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปทั้งลูกและภรรยาจะไม่มีอนาคตที่สดใสแน่นอน จึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นที่สวนยางมาทำการเกษตรอย่างอื่นให้มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวมากขึ้น โดยได้รับคำแนะนำจากเกษตรอำเภอ ให้เข้าอบรมศึกษาหาความรู้หลักสูตรการทำการเกษตรในด้านอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการทำสวนยางและสวนปาล์มน้ำมัน ก็เริ่มเปิดใจและได้เข้าร่วมอบรมหาความรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเรื่อยๆ จนได้มาเจอกับหล
“ทุกวันนี้โอ๋ภูมิใจกับอาชีพเกษตรของโอ๋มาก เพราะเราเลือกที่จะทำ เลือกในสิ่งที่ชอบมาตั้งแต่แรก เราไม่ได้ทำเพราะว่าเราไม่มีอะไรจะทำ แต่เราทำเพราะเราอยากทำ มันเลยมีความสุขในระหว่างทางอยู่แล้ว ถามว่าตรงนี้สำเร็จหรือไม่อย่างไร โอ๋ก็ไม่สามารถตอบได้ว่าเราทำสำเร็จไปแค่ไหน แต่เรารู้ว่าระหว่างทางที่เราเดิน หรือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่เรามีความสุขมาก หากวันข้างหน้าเกิดอะไรขึ้นเราก็ไม่เสียดายแล้ว เพราะเราได้ทำเต็มที่กับที่สมองเราคิดแล้ว” ความในใจของคุณโอ๋ที่มีต่ออาชีพเกษตร ซึ่งผู้เขียนเชื่ออย่างเต็มร้อยว่าสิ่งที่คุณโอ๋สื่อสารออกมาน่าจะโดนใจใครหลายๆ คน คุณพรนภา เจริญถิ่น หรือ คุณโอ๋ เจ้าของบ้านเฉลี่ยสุขฟาร์ม อยู่บ้านเลขที่ 46/2 หมู่ที่ 3 ตำบลย่านซื่อ อำเภอเมืองอ่างทอง จังหวัดอ่างทอง อดีตพนักงานการเงิน ผันตัวเป็นเกษตรกรอินดี้ ปลูกผักตามใจตัวเอง เน้นผลิตสินค้าคุณภาพ แม้มีพื้นที่ไม่มาก แต่ทำรายได้ครึ่งหมื่นต่อวัน คุณโอ๋ เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะมาเป็นเกษตรกร เคยทำงานประจำในตำแหน่งพนักงานการเงินมาก่อน ทำมาเป็นระยะเวลากว่า 3 ปี จนมาถึงจุดเปลี่ยนในวัยที่อายุครบ 27 ปี ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพราะด้วยนิสัยส่วน
การทำเกษตรให้ประสบความสำเร็จ เริ่มต้นง่ายๆ จากการมีใจรักและการมีวินัย เป็นคำกล่าวของ คุณอังคณา ปาคำ หรือ คุณจ๊ะเอ๋ ธุรการสาว เจ้าของบ้านไร่อำไพร ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 186 หมู่ที่ 3 ตำบลแม่พลู อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ที่ถึงแม้จะมีงานประจำทำอยู่แล้ว ก็ยังสามารถแบ่งเวลามาทำงานเกษตรที่ตนเองรักได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง คุณจ๊ะเอ๋ เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันตนเองทำงานเป็นธุรการประจำอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่ พร้อมกับการทำเกษตรควบคู่ไปด้วย โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากความชอบ และอยากให้คนในครอบครัวได้บริโภคผักที่ปลอดภัยจากสารเคมี แล้วสานต่อให้คนรอบข้าง ซึ่งข้อสำคัญที่สุดคือการมีวินัยในตัวเอง ทุกเช้าและเย็นต้องสละเวลาพักผ่อนส่วนตัวให้น้อยลง เพื่อให้มีเวลาสำหรับจัดการดูแลสวน และตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนออกไปทำงานและหลังกลับจากทำงาน ซึ่งไม่จำเป็นต้องอยู่ดูแลทั้งวันแต่ขอให้จัดการแบ่งเวลาดูแลแปลงอย่างสม่ำเสมอเพียงเท่านี้ ปัจจุบันที่บ้านไร่อำไพรมีพื้นที่ทำการเกษตรทั้งหมด 7 ไร่ แบ่งปลูกส้มเขียวหวาน ผลไม้ขึ้นชื่อประจำอำเภอวังชิ้น 5 ไร่ แก้วมังกร 1 ไร่ โดยส้มเขียวหวานและแก้วมังกรเป็นอาชีพสร้างรายได้หลักที่พ่อ
สวัสดีครับ สวัสดีผู้อ่านทุกท่าน พบกันเป็นประจำในคอลัมน์ “คิดใหญ่แบบรายย่อย The challenge of small scale farmers” กับผม ดร.ธนากร เที่ยงน้อย หลายคนคงคิดเหมือนผมว่ารายได้คือสิ่งสำคัญ เพราะเราต้องใช้รายได้เลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย การหารายได้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่มนุษย์เกือบทุกผู้ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำกันอยู่ตั้งแต่เช้ายันค่ำ หรือบางคนหาตั้งแต่ค่ำไปจนเช้า บางคนความรู้ดีมีการศึกษาและมีประสบการณ์อาจจะใช้เงินทำงานหารายได้ให้ไม่ต้องออกแรง แต่หลายคนที่ผมพบก็มีความสุขกับการใช้แรงและเวลาไปหารายได้กับการเกษตร ทั้งปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ กันไป คิดใหญ่แบบรายย่อย ฉบับนี้ผมจึงตั้งหน้าตั้งตาพาท่านมาถึงสุโขทัยเพื่อมาพูดคุยกับนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรที่หารายได้เสริมจากการเกษตรได้อย่างน่าอิจฉา ไปกันเลยครับ อาชีพเสริมของนักวิชาการส่งเสริมการเกษตร พาท่านมาที่สวน “นายกะเปี๊ยก” เลขที่ 39/3 หมู่ที่ 3 ตำบลย่านยาว อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย มาพบกับ คุณอารีย์ กาเพ็ชร นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการ กลุ่มยุทธศาสตร์และสารสนเทศ สำนักงานเกษตรจังหวัดสุโขทัย คุณอารีย์ เริ่มเล่าให้ฟังว่า ตนเองและสามีประกอบอาชีพรับราชการในสายง
โดยปกติเราแค่คิดว่าการปลูกผักเอาไว้บริโภคในครัวเรือน เพียงอย่างเดียว แต่การปลูกผักอินทรีย์ข้างบ้านยังสามารถรักษาสุขภาพได้เนื่องจากผักที่เราปลูกกินเองย่อมไม่มีสารพิษตกค้างเพราะเราไม่ได้ใช้สารเคมีเหล่านี้ในการปลูก เรารับรู้กันทั่วไปว่าผักส่วนใหญ่มีการผลิตแบบใช้สารเคมี ชนิดที่คนปลูกไม่ได้กิน คนกินไม่ได้ปลูก การที่เรากินเฉพาะผักที่ปลูกก็เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายแล้วยังประหยัดค่ารักษาโรคได้อีกด้วย เรื่องราวในคราวนี้ผู้เขียนไม่ได้ถ่ายทอดความรู้เรื่องการทำเกษตร แต่เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของแรงบันดาลใจของการทำการเกษตร ผู้เขียนคิดว่าคนทำการเกษตรในเรื่องนี้เข้าถึงความคิดของการทำเกษตรยั่งยืนอย่างลึกซึ้ง คุณพสุธ รัตนบรรณางกูร หรือ คุณโพธิ์ เล่าให้ฟังว่า “ผมจบปริญญาเอกสาขาวิศวกรรมเคมี จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2545 ได้ทำงานในบริษัทยาที่อเมริกาได้ 5 ปี มีความรู้สึกคิดถึงเมืองไทย รู้สึกอยากกลับบ้านเกิด เพราะคุณพ่อคุณแม่ยังอยู่ที่เมืองไทย ที่อเมริกาสะดวกและทันสมัยก็จริง แต่ความรู้สึกว่าบ้านเราคล่องตัวกว่า ก็เลยกลับมาเมืองไทย เพื่อเปิดกิจการส่วนตัว ต่อมาได้เจอกับคู่ชีวิตคือ คุณห
ใครจะรู้ว่า ผักสลัดหนึ่งต้น จะมีความหมายกับน้องๆ ผู้บกพร่องทางสติปัญญา ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพราชานุกูล (บางพูน) จังหวัดปทุมธานี มากกว่า การเป็นผักคุณภาพดี ปลอดภัย รับประทานอร่อย เพราะนี่คือ ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการปลูกผักที่ทำให้น้องๆ ได้ฝึกการดำรงชีวิต ทักษะอาชีพ เพื่อลดภาระของครอบครัว “การปลูกผัก อาจจะดูง่ายสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับผู้บกพร่องทางสติปัญญา เป็นเรื่องที่ยากมาก” นางสาววรรณนภา เปรมปรีดา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพราชานุกูล (บางพูน) จังหวัดปทุมธานี บอกเล่า “ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพราชานุกูล (บางพูน) จะรับดูแลผู้บกพร่องทางสติปัญญา วัยรุ่น ที่มีอายุตั้งแต่ 15-35 ปี ด้วยกระบวนการพยาบาลและโปรแกรมบางพูนโมเดล ที่พัฒนาขึ้นเพื่อฝึกทักษะต่างๆ ให้น้องๆ มีศักยภาพในการดำรงชีวิตและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ โดยไม่เป็นภาระแก่ครอบครัว” กิจกรรมปลูกผัก นับเป็น โมเดล ที่ศูนย์นำมาใช้ในการฝึกทักษะเพื่อเตรียมความพร้อมและส่งต่อน้องๆ กลุ่มนี้เข้าระบบการทำงานตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซึ่งจะทำให้พวกเขามีอาชีพและรายได้
ใครจะรู้ว่า ผักสลัดหนึ่งต้น จะมีความหมายกับน้องๆ ผู้บกพร่องทางสติปัญญา ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพราชานุกูล (บางพูน) จังหวัดปทุมธานี มากกว่า การเป็นผักคุณภาพดี ปลอดภัย รับประทานอร่อย เพราะนี่คือ ผลผลิตที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการปลูกผักที่ทำให้น้องๆ ได้ฝึกการดำรงชีวิต ทักษะอาชีพ เพื่อลดภาระของครอบครัว “การปลูกผัก อาจจะดูง่ายสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับผู้บกพร่องทางสติปัญญา เป็นเรื่องที่ยากมาก” นางสาววรรณนภา เปรมปรีดา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพราชานุกูล (บางพูน) จังหวัดปทุมธานี บอกเล่า “ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพราชานุกูล (บางพูน) จะรับดูแลผู้บกพร่องทางสติปัญญา วัยรุ่น ที่มีอายุตั้งแต่ 15-35 ปี ด้วยกระบวนการพยาบาลและโปรแกรมบางพูนโมเดล ที่พัฒนาขึ้นเพื่อฝึกทักษะต่างๆ ให้น้องๆ มีศักยภาพในการดำรงชีวิตและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ โดยไม่เป็นภาระแก่ครอบครัว” กิจกรรมปลูกผัก นับเป็น โมเดล ที่ศูนย์นำมาใช้ในการฝึกทักษะเพื่อเตรียมความพร้อมและส่งต่อน้องๆ กลุ่มนี้เข้าระบบการทำงานตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซึ่งจะทำให้พวกเขามีอาชีพและรายได้
หากใครกำลังมองอาชีพเสริมหลังว่างเว้นจากงานประจำ การปลูกพืชผักสวนครัว ผักสลัด หรือผักชนิดอื่นๆ ที่มีความต้องการบริโภคทุกวัน นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ผู้ที่มีพื้นที่น้อยสามารถทำได้ จัดการดูแลได้ง่าย ใช้ระยะเวลาการปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวไม่นานเพียง 40-45 วัน เริ่มทำการตลาดได้ง่ายๆ จากคนในละแวกใกล้เคียง หากวางแผนการปลูกให้มีผักเก็บขายได้ทุกวัน วันละไม่ต้องมาก เพียงวันละ 2-3 กิโลกรัม คิดเป็นรายได้ต่อเดือนจำนวนไม่น้อย คุณอัญชลี เกตุจรุง หรือ คุณอ้อ เจ้าของดินดีฟาร์ม ไส้เดือน ชลบุรี ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 6/1 หมู่ที่ 9 ตำบลหนองรี อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี สาวไอทีผู้ชื่นชอบในงานเกษตร ใช้เวลาว่างจากงานประจำ ปรับปรุงพื้นที่ข้างบ้านปลูกพืชผักอินทรีย์ มีผักเคลที่จัดอยู่ในกลุ่มอาหารซุปเปอร์ฟู้ด เป็นพืชสร้างรายได้หลัก ใช้ระยะเวลาการปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวไม่นาน เริ่มสร้างรายได้เข้ากระเป๋าตั้งแต่เดือนแรก คุณอ้อ เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันทำงานประจำเป็นซิสเต็มแอดมิน มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับระบบไอทีที่บริษัทแห่งหนึ่ง ส่วนจุดเริ่มต้นของการทำเกษตรเกิดจากวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มีเวลาว่างจึงใช้โอกาสตรงนี้มองหาอาช