ภูมิปัญญาชาวบ้าน
โครงการส่งเสริมศิลปาชีพบ้านทรายทอง ตำบลปทุมวาปี อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร เป็นหนึ่งในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรแบบผสมผสาน เช่น การปลูกพืชผัก ผลไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ เลี้ยงปลา เลี้ยงสัตว์ ปลูกป่าเป็นแหล่งอาหารชุมชนแล้ว ยังเป็นแหล่งจ้างงาน และแหล่งถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้านและเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้แก่ชาวบ้านนำไปประกอบอาชีพอย่างถูกวิธี และมีผลผลิตเพิ่มขึ้น ลดปัญหาการละทิ้งถิ่นฐาน เพื่อไปรับจ้างในเมืองอีกด้วย “การสร้างลานปลา” เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาท้องถิ่นที่น่าเรียนรู้ในโครงการแห่งนี้ การสร้างลานปลาแบบโบราณของชาวสกลนคร ไม่มีขั้นตอนยุ่งยากอะไร ผู้สนใจสามารถนำองค์ความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้กับแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไป หรือสระน้ำทุกพื้นที่ เริ่มจากนำไม้ไผ่มาปัก 4 มุม ในระยะกว้าง 20 เมตร ยาว 15 เมตร นำตาข่ายสีเขียวหรือสีดำ ขนาดความถี่ประมาณ 1 เซนติเมตร มาผูกกับไม้ไผ่ทั้งสี่ด้าน ปล่อยให้ตาข่ายจมอยู่ใต้ผิวน้ำ หลังจากนั้น นำกิ่งไม้มาลอยสุมอยู่เหนือตาข่าย เมื่อสร้างลานปลาเสร็จแล้ว ปล่อยใ
การทอผ้าพื้นเมืองชาวเขาถือเป็นงานศิลปะที่เกิดจากวัฒนธรรมเก่าแก่ทางภาคเหนือหลายเผ่าพันธุ์ อาทิ ม้ง กะเหรี่ยง มูเซอ อาข่า และเย้า ที่ถักร้อยความเป็นไทยและต่างถิ่นไว้ด้วยกันอย่างลงตัว มีการพัฒนารูปแบบลวดลายให้มีความหลากหลายทางมิติความงามแฝงไปด้วยความคิด ความเชื่อที่สืบทอดกันมายาวนาน กระทั่งถูกนำมาผสมผสานกับแฟชั่นสากล เป็นการยกระดับผ้าชาวเขาให้เป็นที่รู้จักมีชื่อเสียงไม่เพียงตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า แต่ยังถูกประยุกต์เป็นผลิตภัณฑ์ของใช้และเครื่องประดับหลายชนิดได้อีกด้วย คุณมนตรี สุรินทร์ หรือ คุณใหญ่ และแฟน ร่วมกันดึงเอกลักษณ์ของผ้าชาวเขาผสมผสานเข้ากับผ้าพื้นพร้อมออกแบบเป็นผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายสไตล์ในชื่อแบรนด์ “ม้งจิ” (HMONGI by rhada) ตอบโจทย์ความต้องการได้ทุกกลุ่ม สร้างความสนใจให้แก่ลูกค้าทุกเพศวัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ คุณใหญ่และแฟนเคยเป็นมนุษย์เงินเดือน ระหว่างทำงานหารายได้เพิ่มด้วยการนำสินค้าที่ชาวเขาผลิตขึ้นอย่างรองเท้าและกระเป๋ามาขายทางออนไลน์แล้วได้รับความสนใจ เผอิญไปเจอญาติประกอบอาชีพเย็บรองเท้าที่ลำพูน จึงให้ตัดเย็บรองเท้าแนวโมเดิร์น โดยใช้ผ้าชาวเขาเป็นวัสดุจำนวน 50 คู่ เพื่อล
“เห็ดเผาะ” หรือ “เห็ดถอบ” เป็นเห็ดในวงศ์ Diplosystaceae ดอกอ่อนมีลักษณะกลม เมื่อแก่ดอกจะบานออกลักษณะคล้ายดาว นอกจากนี้ ในบรรดาเห็ดที่พบในภาคเหนือและภาคอีสานเห็ดเผาะเป็นที่นิยมและมีราคาสูง ซึ่งพบได้ตามธรรมชาติในภูมิอากาศร้อนชื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเข้าฤดูฝน ที่ผ่านมาในประเทศไทย โดยโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ได้ส่งเสริมให้มีการปลูกไม้วงศ์ยาง (ยางนา) เพื่อรักษาความชุ่มชื้น และอุดมสมบูรณ์ของดิน หรือผืนป่า ซึ่งเห็ดเผาะสามารถเจริญเติบโตได้ดีในรากของต้นยางนาและทำให้ต้นยางนาเจริญเติบโตได้ดีด้วย ตามภูมิปัญญาชาวบ้าน เห็ดเผาะมีสรรพคุณหลากหลาย ได้แก่ ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ช่วยรักษาอาการช้ำใน ช่วยป้องกันโรควัณโรค ช่วยป้องกันและยับยั้งการเกิดของเซลล์มะเร็งได้ดี เป็นต้น และจากหลายงานวิจัยพบว่า เห็ดเผาะมีสารสำคัญประกอบด้วย พอลิแซ็กคาไรด์ สารเทอร์พีน สเตอรอยด์ สารประกอบฟีนอลิก และสารประกอบเฮเทอโรไซคลิก ที่มีสรรพคุณในการต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ยับยั้งมะเร็ง และฆ่าไวรัสก่อโรค วัณโรค เป็นต้น โดยเห็ดเ
ปัจจุบัน เกษตรกรส่วนใหญ่มีพื้นที่การเกษตรอยู่นอกเขตชลประทาน ไม่มีไฟฟ้าที่จะเอื้ออำนวยต่อการสูบน้ำในการเพาะปลูกพืช จึงมักทำการเกษตรได้เฉพาะฤดูฝน และบ่อยครั้งต้องประสบปัญหาพืชขาดน้ำ และบางรายเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งจึงปล่อยให้พื้นที่ว่างเปล่า เพราะไม่สามารถจัดหาน้ำมาใช้เพาะปลูกพืชได้ แต่มีเกษตรกรรายหนึ่งที่ใช้ภูมิปัญญาดัดแปลงเครื่องสูบน้ำแบบสะพายให้เป็นเครื่องสูบน้ำปลูกพืชผัก ทำรายได้ในช่วงฤดูแล้งได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น คุณวิไล นาลา อยู่บ้านเลขที่ 356 หมู่ที่ 9 บ้านนาดี ตำบลกุดธาตุ อำเภอหนองนาคำ จังหวัดขอนแก่น ฉีดรดพืชผักตามต้องการ คุณวิไล-คุณพรรณี นาลา สองสามีภรรยา ให้ข้อมูลว่า มีอาชีพทำนา ในฤดูฝนทำนาปี ส่วนฤดูแล้งหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วก็ปลูกพืชผักอายุสั้นหลายชนิด เช่น ข้าวโพดข้าวเหนียว แตงร้าน แตงกวา แตงไทย แตงโม ถั่วฝักยาว เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็ย้ายไปปลูกแปลงใหม่ต่อไปเรื่อย เป็นการนำปุ๋ยไปใส่นาอีกทางหนึ่งด้วย สามารถทำรายได้ให้แก่ครอบครัว วันละ 200-300 บาท โดยสูบน้ำจากสระน้ำที่ขุดไว้ จำนวน 2 บ่อ เปลี่ยนชุดตัดหญ้า เป็นหัวปั๊มสูบน้ำ เมื่อติดเครื่องยนต์และจุ่มหัวปั๊มสูบน้ำลงในน้ำจะสูบน
หมอเกษตร ทองกวาว แนะวิธีเพาะหรือปลูกเห็ดโคน ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน เริ่มจากนำจาวปลวก ที่อยู่ภายในจอมปลวก มีขนาดใกล้เคียงกับกะลามะพร้าวผ่าซีก จอมปลวกหนึ่งรังจะมีจาวปลวกหลายอัน มีลักษณะเบา โปร่ง ซุย มีรอยทางเดิน ซอกแซก ทะลุถึงกันได้ จาวปลวกน่าจะเป็นสวนปลูกเห็ดอ่อน เพราะมีเส้นใยขาวเต็มไปหมด สามารถพัฒนาเป็นดอกเห็ดต่อไป เกษตรกรจะนำจาวปลวกออกมาถู หรือขยี้ให้เป็นฝุ่นโปรยลงบนข้าวเหนียวนึ่งสุก ทิ้งให้เย็น เติมน้ำเล็กน้อยแล้วคลุกให้เข้ากัน คล้ายกับการทำสาโท นำไปหมักในถังพลาสติก ปิดปากถังด้วยผ้าขาวบาง เกษตรกรบางท่านอาจฉีกหมวกเห็ดโคนผสมลงไปด้วยก็มี เก็บในร่ม ปล่อยให้เส้นใยเจริญเพิ่มปริมาณจนมองเห็นสีขาวชัดเจน ใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ จึงนำไปหว่านในสวนในร่มรำไร อย่าให้แสงแดดจ้า ในช่วงแล้งควรสับฟางข้าว หรือนำใบไม้แห้งโรยลงพื้นเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุเป็นอาหารชั้นดีของเห็ด เมื่อเตรียมหัวเชื้อไว้เรียบร้อยแล้วจึงนำไปหว่านลงดิน กะให้พอดีกับต้นฤดูฝน หากฝนทิ้งช่วงควรรดน้ำให้บ้างเป็นครั้งคราว จากนั้นอีกประมาณ 30-45 วัน จะมีดอกเห็ดปรากฏให้เห็น ทั้งหมดนี้เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านล้วนๆ ในทางวิชาการยังขาดการวิจัยในวิธี
คุณสมโภชน์ ชูศิริ อดีตผู้อำนวยการโครงประทานจังหวัดตราดและจังหวัดจันทบุรี เกษียณอายุมาตั้งแต่ ปี 2554 เขาเล่าว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้ว…ไม่มั่นใจในอาชีพรับราชการ จึงได้นำที่ดินมรดก 40 ไร่มาพัฒนาสวนเกษตรอินทรีย์ชื่อว่า “สวนทอฝัน” มีสัตว์เลี้ยงที่สวยงามอย่างไก่ฟ้า ม้าที่ช่วยกัดกินหญ้า และอุดมด้วยพืชผลนานาชนิด ล้วนให้ผลผลิตแล้วทั้งสิ้น มังคุด ลองกอง ปาล์มน้ำมัน อินทผลัม และมะนาวแข่งขันกันเติบโตและให้ผลตอบแทนเป็นรายได้หลักแสนในแต่ละปี เจ้าของสวนบอกว่า เป็นความโชคดีที่ได้มรดกสวนจากคุณแม่มาเป็นต้นทุนสำคัญ ด้วยการค่อยๆ สร้างพืชผลใหม่ด้วยเงินออม เงินสะสมด้วยหลักของการดำเนินชีวิตแบบพอเพียงตลอดชีวิตรับราชการ เขายืนยันว่าฝันเขายังไม่จบเพียงวันนี้ อนาคตยังมีฝันอีกมากมาย โดยเฉพาะเมื่อส่งผ่านไปยัง คุณฐาปนา ชูศิริ ลูกชายคนเล็กที่จบปริญญาตรี สาขามัณฑศิลป์ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ที่จะช่วยถักทอสานต่อสวนทอฝัน เริ่มสะสมทุน “สวนทอฝัน” ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 2 หมู่ที่ 8 ตำบลทุ่งนนทรี อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด อยู่ห่างจากตัวอำเภอเขาสมิงไปเพียง 3 กิโลเมตร บริเวณสวนร่มรื่น ตั้งแต่เข้าไปในเขตสวนทอฝัน ร่มรื่นด้วยสวนมังคุด
“เรือผีหลอก” เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาชาวบ้านของตำบลบ้านกล้วย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ที่ใช้ในการจับปลามาตั้งแต่สมัยโบราณ ปัจจุบันการจับปลาโดยใช้ “เรือผีหลอก” นับเป็นของที่หาดูได้ยากแล้ว นายเสนาะ พันธ์น้อย ชาวบ้านตำบลบ้านกล้วย ได้สืบทอดวิธีการทำเรือผีหลอก มาจากรุ่นปู่ รุ่นพ่อ ซึ่งในอดีตใช้เป็นเรือไม้ ปัจจุบันนายเสนาะได้ประยุกต์ดัดแปลงเป็นเรือสเตนเลส ความยาวเรือ ยาว 32 ศอก พร้อมอุปกรณ์สำคัญในการหลอกปลาและสัตว์น้ำ คือ กระดานไม้ ทาด้วยสีขาวประมาณ 60 เซนติเมตร ปล่อยลงข้างลำเรือ โดยหันแผ่นไม้สีขาวเข้าหาตลิ่ง เพื่อหลอกปลาให้ตกใจแล้วกระโดดขึ้นมาบนเรือ และมีตาข่ายกันปลากระโดดข้ามเรือ นายเสนาะใช้วิธีนี้หาปลา กลับบ้านเป็นจำนวนมาก วิธีการหาปลาแบบเรือผีหลอกของนายเสนาะ จะใช้วิธีการล่องเรือไปตามแนวตลิ่งของคลองชลประทาน ชัยนาท-ป่าสัก โดยใช้เวลาล่องเรือเพียง 1 ชั่วโมงเศษ ก็ได้ปลาน้อยใหญ่กลับมาเต็มลำเรือ เพราะเมื่อเรือวิ่งผ่านไปตามแนวตลิ่ง ปลาก็จะพากันกระโดดขึ้นลำเรือเอง ก่อนจะไปชนตาข่ายด้านข้างอีกฝั่งของเรือและตกลงมาในท้องเรือ ในแต่ละคืน ที่นายเสนาะหาปลาด้วยวิธีนี้ ได้ปลากลับมากว่า 100 กิโลกรัม มีรายได้
คุณป้าบุญเจตน์ เจริญการ วัย 67 ปี คุณแม่ของ คุณสมเกียรติ วรโชติสกุลวงษ์ ประธานชมรม เล่าว่า ตัวเองไม่ได้พิการแต่อย่างใด มาช่วยลูกชายปลูกผักและสอนสมาชิกชมรมทำแปลงปลูกผัก เล่าถึงขั้นตอนการปลูกผักว่า บางอย่างนำเมล็ดพันธุ์มาเพาะเอง บางอย่างซื้อต้นพันธุ์ที่เพาะแล้วมา อย่าง กะหล่ำปลี ซื้อต้นพันธุ์มาจากอำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เริ่มจากการเตรียมแปลง พลิกดินชั้นล่างของแปลงขึ้นมาสับให้ดินแหลก ตากแดดให้แห้ง และนำปุ๋ยแกลบขี้ไก่มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ดินร่วนจะช่วยให้รากผักเดิน จะได้โตเร็ว จากนั้นนำต้นพันธุ์มาปลูก ให้น้ำเช้า-เย็น ให้ปุ๋ยสัปดาห์ละครั้ง เมื่อผักโตขึ้นต้องรวกเพลี้ยกินใบ ใช้น้ำยาสูบผสมใบสะเดาฉีดพ่นไล่ และคอยจับตัว ใช้เวลา 40-45 วัน ตัดขาย แล้วแต่ผักแต่ละชนิด เสร็จแล้วเริ่มทำแปลงปลูกใหม่หมุนเวียนไป เพื่อให้มีผลผลิตทยอยต่อเนื่อง “หัวกะหล่ำปลี ปลูกครั้งแรกจะไม่ห่อแน่น เนื่องจากอากาศจังหวัดตราดไม่หนาวเหมือนทางเหนือ หรือจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงทดลองใช้วิธีรวบใบห่อ เอาตอกไม้ไผ่มัด เมื่อปลูกไป 2 สัปดาห์ ช่วยให้ดอกกะหล่ำห่อแน่นได้ ใช้เวลาประมาณ 40-45 วัน ต้นโตตัดขายได้ ใกล้เวลาตัดจะต้องคอย
โดยทั่วไป เมื่อเกษตรกรสูบน้ำจากแม่น้ำมากักเก็บไว้ เวลาที่น้ำไหลเข้าไปในบ่อหรือนาข้าว มักจะพัดพาเศษดินตะกอนเข้ามาด้วย ทำให้บ่อน้ำหรือนาข้าวเกิดปัญหาตื้นเขิน ต้องเสียเงินขุดลอกบ่อยๆ หากต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แนะนำให้ลองนำวิธีของ ครูประทุม สุริยา ปราชญ์ชาวบ้าน ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่เจ้าของ “สวนชีวนิเวศน์ชีวบำบัด” ที่ประยุกต์หลักการทำงานของฝายแม้ว มาใช้ดักตะกอนดินอย่างมีประสิทธิภาพสวนแห่งนี้ แม้สูบน้ำจากแม่น้ำมาใช้แต่ไม่เคยเสียเงินขุดลอกนาเลย เพราะมีระบบการดักดินตะกอนและสารเคมีที่ปะปนมากับน้ำได้อย่างดีเยี่ยม ครูประทุม ได้สังเกตหลักการทำงานของฝายแม้วพบว่า น้ำจะกระเด็นลงไปในหลุม เวลาที่น้ำมาจะตกลงไปในหลุม น้ำจะมีตะกอน ทำให้หลุมตื้นขึ้น เวลาน้ำไหลไปก็จะสะอาด ครูประทุม จึงประยุกต์หลักการจัดการน้ำที่สูบมาจากแม่น้ำ ในรูปแบบใหม่คือ ทำหลุมดักดินตะกอนไว้ตลอดทางทุกระยะ 8 เมตร จะขุดหลุมลึกไว้ 1 ช่อง มีความลึกประมาณครึ่งเมตร เมื่อน้ำไหลเข้าถึงหลุมช่องที่ 20-21 ปริมาณตะกอนก็จะลดลง ครูประทุม จัดการน้ำด้วยเทคนิคดังกล่าวติดต่อกันนานกว่าสิบปีแล้ว ปรากฎว่าไม่เคยต้องเสียเงินลอกท้องนาเลยเพราะดินตะ
หลายคนที่มีสัตว์เลี้ยงประจำบ้าน มักรู้สึกห่วงกังวลว่า ไปทำงานต่างจังหวัด ใครจะหาอาหารให้สัตว์เลี้ยงแสนรัก ปัญหานี้จะหมดไปหากคุณลงมือผลิตเครื่องให้อาหารสัตว์เลี้ยงอัตโนมัติด้วยตัวคุณเอง ตามคำแนะของ “คุณทอม นิวบอร์น” ที่ใช้งานได้เจ๋งจริง ลองนำไปทำใช้กันดู คุณทอม ไม่สงวนลิขสิทธิ์ เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ (Feeder) สำหรับให้อาหารสัตว์เลี้ยง ทำง่ายๆ ได้ด้วยตนเอง ด้วยงบประมาณเพียงแค่ 50 บาท ขึ้นกับชนิดและปริมาณของสัตว์เลี้ยง ใช้ได้ทั้ง เป็ด ไก่ สุนัข แมว หรือสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมครับ ขนาดของ feeder ปรับตามชนิดและปริมาณของสัตว์ครับ ลองทำกันดู ง่ายๆ ไม่ต้องคอยให้อาหารบ่อยๆ หากใครสนใจทำอุปกรณ์ชนิดนี้ เริ่มจากจัดเตรียมวัสดุ ประกอบด้วย 1. ถังขนาด 20 ลิตร พร้อมฝา หรือขนาดที่เหมาะสมกับสัตว์ 2. ขวดพลาสติก หรือวัสดุอื่นก็ได้ 3. ปืนกาวและกาวแท่ง วิธีทำ 1. เจาะถังรูปสี่เหลี่ยมหรือกลมก็ได้ ขนาด 1×2 นิ้ว หรือตามความเหมาะสม 2. ผ่าขวด แนวตั้งให้ได้ค่อนขวด สูง 4 นิ้ว หรือตามความเหมาะสม 3. เจาะรูขนาดเล็กที่ก้นขวด เพื่อไม่ให้น้ำขัง 4. ติดขวดเข้ากับถังด้วยปืนกาว รอให้กาวเย็นก็นำไปใช้งานได้