หมู
จากข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบสต๊อกเนื้อสุกรแช่แข็งทั่วประเทศนั้น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ให้ความร่วมมือเปิดทุกโรงงานผลิตสินค้าเนื้อสุก ต้อนรับเจ้าหน้าที่รัฐเข้าชมกระบวนการผลิตและรายงานสต๊อกสินค้าอย่างเปิดเผย ภายหลังจากส่งบันทึกข้อมูลปริมาณสินค้าคงคลัง แก่พาณิชย์จังหวัดและปศุสัตว์จังหวัดเรียบร้อยแล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการผลิตสินค้าคุณภาพที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ พบมีการปฏิบัติตามกฎหมายทุกขั้นตอน สต๊อกสินค้าพื้นฐานตามปกติ ที่ โรงชำแหละหนองบัวลำภู ต้อนรับคณะของ พันตำรวจเอก ศักดา แสงเดือน ผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรอำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู พร้อมด้วย นายยงยศ แก้วก่อเกียรติ ปศุสัตว์อำเภอศรีบุญเรือง และทีมงาน เข้าเยี่ยมและติดตามข้อมูลการผลิต ปัจจุบันตัดแต่งชิ้นส่วนสุกร 100 ตัวต่อวัน มีการแจ้งกำลังผลิตต่อทางเทศบาลเป็นประจำทุกวัน สต๊อกการผลิตเป็นไปตามออเดอร์ลูกค้า และมีการจ่ายสินค้าออกทุกวัน สำหรับลูกค้าในจังหวัดหนองบัวลำภู เลย ขอนแก่น และอุดรธานี ขณะเดียวกัน โรงชำแหละพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เปิดต
นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เปิดเผยถึงสถานการณ์การผลิตสุกรในขณะนี้ว่า เกษตรกรกำลังได้รับผลกระทบจากภาวะราคาสุกรปรับตัวในช่วงสั้นๆ ที่ผ่านมา โดยเฉพาะผู้รวบรวมสุกรหรือพ่อค้าคนกลาง (broker) เสนอราคาซื้อสุกรต่ำกว่าราคาประกาศ โดยให้เหตุผลว่าประชาชนเริ่มลดการบริโภคเนื้อหมู เนื่องจากราคาหมูที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นปัจจัยลบต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ ปริมาณผลผลิตสุกรอาจเกิดล้นตลาด การกล่าวอ้างของพ่อค้าคนกลางดังกล่าว กลายเป็นผลกระทบเชิงจิตวิทยา ทำให้ผู้เลี้ยงต้องตัดสินใจขายหมูในราคาต่ำกว่าต้นทุน บางฟาร์มขายหมูไม่ออก เพราะผู้ซื้อขอเลื่อนจับหมู บอกว่าการซื้อขายหดตัวอย่างหนัก ส่งผลให้เกษตรกรจำต้องเลี้ยงหมูต่อ ทำให้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น ขณะที่ข้อมูลของพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ระบุว่า ภาวะโรคระบาดส่งผลกระทบให้ปริมาณเนื้อหมูในภาคเหนือลดลงร้อยละ 50 จากปริมาณความต้องการวันละ 6,000-7,000 ตัว จนต้องนำเข้ามาจากภาคอื่น ทำให้มีต้นทุนค่าขนส่งเพิ่ม “ปัจจุบันเกษตรกรทั่วประเทศต่างร่วมกันรักษาระดับราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มไว้ไม่เกิน 110 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อไม่ให้เป็นจำเลยของสังคมว่า คนเลี้ยงหมูคือต้นเ
เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออก เผยสภาวะอากาศร้อน-ภัยแล้ง-อากาศแปรปรวณ ส่งผลหมูอ่อนแอเจ็บป่วยง่าย ทำให้อัตราเสียหายเพิ่มมากกว่า 10% ต้นทุนซื้อน้ำ-ค่าไฟ-ค่าเวชภัณฑ์เพื่อการป้องกันโรคเพิ่มกว่า 100 บาท ต่อตัว ซ้ำต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่ม นายเสน่ห์ นัยเนตร ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์การปศุสัตว์ภาคตะวันออก จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์การเลี้ยงสุกรว่า จากปัญหาอากาศร้อนและภัยแล้งจนถึงอากาศแปรปรวนตลอดทั้งวันในปัจจุบัน บางพื้นที่ร้อนอบอ้าวจนถึงมีฝนตกจากพายุฤดูร้อน ทำให้สัตว์ปรับสภาพร่างกายไม่ทัน เกิดความเครียด กินอาหารน้อยลง ร่างกายอ่อนแอและอาจเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น การเติบโตช้าลง พบว่าอัตราการสูญเสียในฟาร์มจากภาวะอากาศดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 10% ส่งผลให้เกษตรกรมีต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรต่างพยายามป้องกันโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ หรือ ASF ในสุกร เพื่อไม่ให้โรคนี้เข้ามาทำลายอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูของไทยได้ ความพยายามในการป้องกัน ASF ของเกษตรกรทุกคนทำให้ไทยเป็นประเทศเดียวที่ปลอดโรคนี้ แม้ว่าเกษตรกรต้องมีต้นทุนเพิ่มแต่ก็ยินดีปฏิบัติตามมาตรฐานการเลี้ยงและการป้องกันโ
ซีพีเอฟ แนะนำให้เกษตรกรได้ปรับวิธีการเลี้ยง และเน้นดูแลสุขภาพสัตว์และโรงเรือน เพื่อลดความเครียดของสัตว์และป้องกันความเสียหายต่อฝูงสัตว์ จากภัยแล้ง น.สพ.นรินทร์ ร่มลำดวน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ศูนย์วินิจฉัยโรคสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ประเทศไทยต้องเผชิญภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี นับแต่ปี 2522 โดยเฉพาะพื้นที่แล้งซ้ำซาก ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ตอนบน ดังนั้น เกษตรกรจึงจำเป็นต้องเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ด้วยการดูแลความเป็นอยู่ของสัตว์ให้เหมาะสม เพื่อให้สัตว์ไม่เจ็บป่วย และเกิดความเครียดสะสม สำหรับการเลี้ยงไก่เนื้อและไก่ไข่ ปกติจะต้องกินน้ำอย่างน้อย 2 เท่าของปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวัน หากขาดน้ำเกินร้อยละ 20 ไก่จะกินอาหารลดลง เกิดภาวะเครียด อัตราการเจริญเติบโตต่ำ ผลผลิตและภูมิคุ้มกันโรคลด มีโอกาสติดเชื้อโรคได้ง่าย กรณีที่ไก่ได้รับน้ำไม่เพียงพอสังเกตได้จากอาการที่แสดงออก เช่น อาการซึม แข้งไก่มีลักษณะแห้งจากสภาพแห้งน้ำ และหากไก่สูญเสียน้ำไปกว่า 1 ใน 10 ส่วนของน้ำที่มีอยู่ในร่างกาย จะทำให้ไก่ตายได้ นอกจา
นายอภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมหม่อนไหม เผยว่า ใบหม่อนนอกจากจะเป็นอาหารใช้เลี้ยงหนอนไหม แปรรูปทำเป็นชาเพื่อสุขภาพแล้ว วันนี้ใบหม่อนมีแนวโน้มสามารถใช้เป็นอาหารเลี้ยงสุกรได้ โดยกรมหม่อนไหม และกรมปศุสัตว์ได้ร่วมกันศึกษาวิจัย เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้เกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง เป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กลุ่มผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม “ที่ผ่านมากรมปศุสัตว์ มีการนำหญ้าเนเปียร์ผสมกับอาหารข้น แต่การปลูกหญ้าเนเปียร์ ต้องใช้น้ำมาก ซึ่งช่วงหน้าแล้ง 2-3 ปี บ้านเราเจอวิกฤตแล้งขาดแคลนน้ำมาตลอด การทดลองเอาใบหม่อนที่ปลูก มาทดลองใช้เป็นอาหารเลี้ยงหมูจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ จะเป็นอีกช่องทางที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรผู้ปลูกหม่อน และลดต้นทุนอาหารสัตว์ในช่วงฤดูแล้ง” ด้าน นายวัชรพงษ์ แก้วหอม ผู้อำนวยการศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สระบุรี เผยถึงวิธีทดสอบ ใช้วิธีแบ่งสุกรขุน 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ สุกรคอกที่ 1 ให้อาหารข้นล้วน สุกรคอกที่ 2 ใช้อาหารข้นผสมกับหญ้าเนเปียร์ และสุกรคอกที่ 3 เลี้ยงด้วยอาหารข้น ผสมใบหม่อนสับละเอียด 10 เปอร์เซ็นต์ ทำการเก็บข้อมูลเปรียบเทียบตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึง
พื้นที่ราว 40 ไร่ ของชัยสิทธิ์ฟาร์ม หมู่ที่ 1 ตำบลบางริ้น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง จัดได้ว่าเป็นฟาร์มขนาดเลี้ยงหมูขนาดกลางที่มีระบบการจัดการที่ดี แม้ว่าจะเป็นฟาร์มเลี้ยงหมูแห่งแรกของจังหวัด ก่อตั้งมานานกว่า 35 ปีแล้วก็ตาม คุณชัยสิทธิ์ เจี่ยกุญชร เจ้าของฟาร์ม ให้ข้อมูลว่า ฟาร์มหมูแห่งนี้ มีหมูพ่อพันธุ์ น้ำหนักเฉลี่ย 250 กิโลกรัม จำนวน 20 ตัว หมูแม่พันธุ์ น้ำหนักเฉลี่ย 170 กิโลกรัม จำนวน 350 ตัว หมูขุน น้ำหนักเฉลี่ย 60 กิโลกรัม จำนวน 1,500 ตัว หมูอนุบาล น้ำหนักเฉลี่ย 15 กิโลกรัม จำนวน 1,500 ตัว ที่ผ่านมา นำมูลหมูมาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ใช้ภายในไร่ โดยผลิตปุ๋ยอินทรีย์ในรูปของแข็ง ได้ปุ๋ยอินทรีย์มากถึงปีละ 50,000 กิโลกรัม ต่อปี ขายให้กับผู้สนใจ มีรายได้เข้าฟาร์มมากถึง 100,000 บาท ต่อปี นอกจากนี้ ยังสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ในรูปของเหลว ได้มากถึง 85 ลูกบาศก์เมตร ต่อวัน แม้ว่ามูลหมูจะก่อให้เกิดรายได้ให้กับฟาร์ม โดยการขายเป็นมูลหมูตากแห้งก็ตาม แต่เพราะฟาร์มมีขนาดใหญ่ การจัดการความสะอาดภายในฟาร์มดีอย่างไร กลิ่นมูลหมูก็จะเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ ซึ่งเมื่อปริมาณหมูมาก ทำให้กลิ่นกระจายพื้นที่ออกไปกว้าง ส
นายสรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยถึงรายงานของของคณะกรรมการเกษตรไต้หวัน (Council of Agriculture: COA) ว่า มีการตรวจพบการปนเปื้อนสารพันธุกรรมของเชื้อโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (สุกร) ในผลิตภัณฑ์จากหมู ที่นำเข้ามาจากประเทศเวียดนาม เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2562 แม้ว่ายังไม่มีการรายงาน พบการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรอย่างเป็นทางการ จากรัฐบาลเวียดนาม แต่ นาย Phung Duc Tien รองปลัดกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบทของประเทศเวียดนาม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ปัญหาการลักลอบนำเข้าเนื้อหมู บริเวณชายแดนระหว่างจีนและเวียดนาม ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมูอย่างรุนแรง ในประเทศเวียดนาม ดังนั้น ไทยจึงมีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมีการเคลื่อนย้ายสัตว์-ซากสัตว์ภายในภูมิภาคอาเซียน และเชื้ออหิวาต์แอฟริกาในหมู ปนเปื้อนมากับคนและอาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์จากหมู ที่ไม่ผ่านการปรุงสุกเพื่อการบริโภค จึงได้แจ้งเตือนให้จังหวัดตามแนวชายแดน ที่มีความเสี่ยงสูงประกาศเป็นเขตเฝ้าระวังโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู เพื่อยกระดับการเฝ้าระวังในการป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู อีกทั้งได้มีการประชุมศูนย์ปฏ
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ทางการจีนแถลงว่า ได้ฆ่าหมูกว่า 14,500 ตัว ในเมืองเหลียนหวินกั่ง ทางตะวันออกของประเทศจีน เมื่อคืนวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากพบการระบาดของเชื้อไข้หวัดหมูแอฟริกันและต้องฆ่าหมูเหล่านี้ทิ้งเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อดังกล่าว ข่าวระบุว่า มีรายงานพบเชื้อดังกล่าวที่กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็มีรายงานพบการระบาดในหมูอีกหลายเมืองทั่วประเทศจีน จนทำให้ทางการจีนต้องเริ่มการฆ่าหมูเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ทั้งนี้ เชื้อไข้หวัดหมูแอฟริกัน ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่จะเป็นอันตรายต่อหมูและหมูป่า ที่จะตายลงหลังจากติดเชื้อภายในเวลาไม่กี่วัน และยังไม่มีวัคซีนป้องกันแต่อย่างใด มีเพียงการป้องกันด้วยการฆ่าหมูที่ติดเชื้อ ขณะที่ทางการเมืองเหลียนหวินกั่ง แถลงว่า ได้ทำการตรวจสอบหมูอีกราว 4 ล้านตัว ในเมือง และไม่พบว่ามีความผิดปกติแต่อย่างใด ที่มา : มติชนออนไลน์
เหลือบมองเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทยกลับต้องพะว้าพะวังกับอนาคตของตนเอง ที่กำลังถูกพญาอินทรีย์สหรัฐอเมริกา จ้องที่จะตะครุบเหยื่ออันโอชะอย่างประเทศไทย ด้วยการขนเอาเนื้อหมู รวมถึงเศษชิ้นส่วนที่คนอเมริกันไม่รับประทาน ทั้งหัว ขา เครื่องใน มาดั๊มพ์ขายในไทย ซึ่งไม่เฉพาะผู้บริโภคเท่านั้นที่ต้องเสี่ยงกับการต้องกินหมูสหรัฐที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงหมูได้อย่างอิสระ หากแต่เกษตรกรคนไทย ทั้งคนเลี้ยงหมู 195,000 ราย และห่วงโซ่การผลิตทั้งอุตสาหกรรมตั้งแต่ เกษตรกรผู้ปลูกพืชทั้งส่วนของรำข้าวและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ภาคอาหารสัตว์ จนถึงเวชภัณฑ์สัตว์ไทย รวมกันกว่า 2 แสนราย ต้องล่มสลายแน่เพราะไม่สามารถแข่งขันกับหมูสหรัฐได้ เรื่องนี้ ANAN นักวิจัยของ EfeedLink, Singapore วิเคราะห์กรณีความพยายามของสหรัฐในครั้งนี้ไว้อย่างน่าสนใจ เขาบอกว่าเนื่องจากไทยกับสหรัฐ มีการเลี้ยงหมูที่แตกต่าง โดยเฉพาะการใช้สารปรับสภาพซากซึ่งเป็นสารเร่งนื้อแดง-แร็กโตพามีน (Ractopamine) ที่ใช้กันเป็นปกติในสหรัฐ แต่ในประเทศไทยเป็นสารต้องห้ามตามกฎหมาย ทั้งห้ามใช้ผสมอาหารสัตว์ ห้ามปนเปื้อนสารเคมีกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ ทำให้เป็นข้อกำหนดที่ไม่สอดคล้
เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 14 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ต.บึงโขงหลง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ มีพายุฝนตกหนักและฟ้าคะนอง หลังจากฝนหยุดตกพบว่าฟ้าได้ผ่าคอกหมูของชาวบ้านได้รับความเสียหาย หมูตายเกือบ 10 ตัว ที่บ้านเลขที่ 1 บ้านคำสมบูรณ์ ม.3 ต.บึงโขงหลง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ นางทองแดง ปีประเสริฐ อายุ 62 ปี เจ้าของบ้าน เล่าว่า ตนมีเงินอยู่ 30,000 บาท หลังจากเก็บหอมรอมริบมานาน ได้นำเงินดังกล่าวไปซื้อลูกหมูมาเลี้ยง จำนวน 15 ตัว ตัวละ 1,200 บาท เป็นเงิน 18,000 บาท และเงินส่วนที่เหลือก็นำมาทำโรงเรือน เลี้ยงมาจนกระทั่งใกล้จะจับขาย วันนี้ฝนตกแรงมาก สักพักได้ยินเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเหมือนเสียงฟ้าผ่าบริเวณคอกหมู จึงเดินออกไปดูพบว่าคอกหมูโดนฟ้าผ่า วินาทีนั้นตนได้แต่ร้องไห้เพราะความสงสารหมู พบว่าหมูถูกฟ้าผ่าตายจำนวน 7 ตัว ขาหัก 5 ตัว หมูที่ตายขายให้ชาวบ้านตัวละ 700 -1,500 บาท คาดว่าค่าเสียหายราว 3-4 หมื่นบาท