เทคโนโลยีชาวบ้าน
สูตรน้ำหมักที่จะช่วยเร่งพัฒนาการของตาดอกให้เจริญเร็ว ช่วยในการติดดอกและออกดอกดก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับไม้ตัดดอก เช่น ดาวเรือง มะลิ กุหลาบ ทำง่าย ประหยัด และไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อตัวผู้ใช้และธรรมชาติ สูตรนี้จะช่วยกระตุ้นการแตกตาดอกและพัฒนาการของดอกได้ดี เหมาะสำหรับใช้กับไม้ตัดดอกทั่วไป และไม้ผลระยะออกดอกบางชนิด 🪴วิธีการ สับชมพู่ให้เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปใส่ในถังหมัก เติมกากน้ำตาล พด.2 และน้ำเปล่าลงไปในถัง คนให้เข้ากัน หมักไว้นานประมาณ 6 เดือน โดยระหว่างหมักให้แบ่งใส่รำละเอียดลงในถังหมัก อาทิตย์ละครั้ง ครั้งละประมาณ 1 กิโลกรัม แล้วคนรำละเอียดให้เข้ากันกับน้ำหมักไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบเวลาที่กำหนด เมื่อครบกำหนดก็สามารถนำน้ำหมักที่ได้ไปใช้ได้ทันที 🪴วัตถุดิบ ชมพู่ จำนวน 30 กิโลกรัม พด.2 จำนวน 2 ซอง กากน้ำตาล จำนวน 30 กิโลกรัม น้ำเปล่า จำนวน 30 ลิตร รำละเอียด จำนวน 30 กิโลกรัม ✨วิธีการนำไปใช้ ใช้น้ำหมัก 20 ซีซีต่อน้ำ 25 ลิตร ฉีดในช่วงเช้าหรือเย็น ขณะไม่มีแดด หรือช่วงพืชแตกตาดอก 🌱ขอบคุณสูตรจาก : ประสิทธิ์ โสภี. เกษตรกรบ้านเขาดิน 🌐ขอบคุณข้อมูลจาก : rakbankerd.com #เทคโนโลยีชาวบ้าน #technologychaoban
ตอนเด็กทุกคนต้องมีความฝันของตัวเอง พอถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีทุกอย่าง สิ่งหนึ่งที่อยากทำนั้นก็คือทำตามฝันในวัยเด็ก คุณฝ้ายก็เช่นกัน ที่สานฝันของตัวเองจนประสบความสำเร็จ เรียนรู้และเข้าใจการปลูกกุหลาบด้วยตัวของตัวเอง มาจากความรักล้วนๆ โดยที่ไม่ได้นึกถึงผลกำไร อะไรก็ตามที่ทำด้วยใจ ทำด้วยความชอบ สุดท้ายก็จะประสบความสำเร็จที่มาจากแรงผลักดันของเราเอง คุณอุบลรัตน์ ศรีสูงเนิน หรือ คุณฝ้าย เจ้าของเพจทาสกับราชนิกุล ที่ทำสวนกุหลาบมาจากความรักไม่ได้หวังผลกำไร เล่าว่า ตอนนี้อายุ 37 ปี ทำธุรกิจส่วนตัวมาค่อนข้างนาน แล้วอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงอยากมองหาความสุขให้กับตัวเอง ซึ่งตอนที่ยังเด็ก จะมีอยู่ประโยคหนึ่งที่บอกว่า “บางครั้งความสุขของเรา มาในรูปแบบของความทรงจำเมื่อตอนที่เรายังเด็ก” ในตอนเด็ก อยากมีร้านดอกไม้ มีสวนกุหลาบเป็นของตัวเอง จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ลองปลูกกุหลาบเอง แต่ตอนนั้นความคิดคือ นอกจากภูเรือกับเชียงใหม่ ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกไม่สามารถปลูกกุหลาบได้แน่นอน คุณฝ้าย เล่าให้ฟังว่า “เริ่มทดลองปลูกกุหลาบจากภาคอีสานก่อน จังหวัดชัยภูมิ ใช้ระยะเวลาทดลองปลูก 1 ปี ตอนนั้นเริ่มปลูก 2,000 ต้น ป
แมงป่องช้าง (Giant scorpion) ชื่อสามัญ : แมงป่องช้าง Common name : Giant scorpion ชื่อวิทยาศาสตร์ : Heterometrus sp. Order : ScorpionesFamily : Scorpionidae ลักษณะทั่วไป แมงป่องช้างเป็นสัตว์มีเปลือกแข็งหุ้ม ลำตัวเรียว มีขาจำนวน 4 คู่ อวัยวะที่โดดเด่น คือ “ก้ามใหญ่” (pedipalps) 1 คู่ มีส่วนหัวและอกอยู่รวมกัน เรียกว่า prosoma ทำหน้าที่หนีบอาหารหรือจับเหยื่อ มีตาบนหัว 1 คู่ และตาข้างอีก 3 คู่ตรงกลางหลัง (middle dorsal) และขอบข้างส่วนหน้า (anterolateral) ตรงปากมี “ก้ามเล็ก” (chelicera) 1 คู่ ส่วนถัดมาเรียกว่า mesosoma ประกอบด้วยปล้อง 7 ปล้อง ซึ่งปล้องที่ 3 มีอวัยวะสำคัญคือ “ช่องสืบพันธุ์” (genital operculum) และมีอวัยวะที่เรียกว่า pectines หรือ pectens 1 คู่ มีรูปร่างคล้ายหวี ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากการสั่นของพื้นดิน ส่วนสุดท้ายคือส่วนหางเรียวยาว เรียกว่า metasoma ประกอบด้วยปล้อง 5 ปล้องกับปล้องสุดท้าย คือ “ปล้องพิษ” มีลักษณะพองกลมปลายเรียวแหลม คล้ายรูปหยดน้ำกลับหัว บรรจุต่อมพิษ มีเข็มที่ใช้ต่อย เรียกว่า “เหล็กใน” (sting apparatus) สำหรับฉีดพิษ แม้ว่าแมงป่องมีตาหลายคู่ แต่มีประสิทธิภาพการ
ใครที่กินสับปะรดแล้ว อย่า อย่า❗️เพิ่งนำเปลือกไปทิ้ง สามารถเอาไปทำประโยชน์ได้ เป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในตาและเปลือกของสับปะรด นำมาทำจุลินทรีย์น้ำหมักสับปะรดได้ เพื่อบำรุงการเจริญเติบโตของต้นพืช และยังมีสรรพคุณช่วยปรับสภาพดินจากดินแข็ง ดินเหนียว ดินดาน ทำให้ดินมีความร่วนซุยมากขึ้น 🪴วิธีการ 1. ฉีกหรือสับเปลือกสับปะรดให้มีขนาดเล็กลง ยิ่งเล็กก็ยิ่งทำให้การนำไปใช้ประโยชน์และการย่อยสลายง่ายขึ้น จากนั้นนำไปใส่ถังหมัก 2. เติมน้ำเปล่าเล็กน้อยในขวดบรรจุกากน้ำตาล เพื่อทำการละลายกากน้ำตาล เมื่อกากน้ำตาลละลายแล้ว ให้เติมลงไปในถังหมัก 3. เติมน้ำเปล่าให้พอท่วมเปลือกสับปะรด 4. คนส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นปิดฝา 🪴วัตถุดิบ – เปลือกสับปะรด จำนวน 1 กิโลกรัม – กากน้ำตาล จำนวน 100 มิลลิลิตร – น้ำเปล่า – ถังหมักพร้อมฝาปิด ✨วิธีการนำไปใช้ – นำไปรดพืชผัก ใช้อัตราส่วน 20 ซีซี : น้ำ 20 ลิตร มีประโยชน์ช่วยในการปรับสภาพดินและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเจริญเติบโตของราก เมื่อรากพืชเดินได้ดี ต้นพืชของเราก็จะเจริญงอกงาม – รองพื้นก้นหลุมหรือใช้ปรับสภาพดิน อัตราส่วน 100 ซีซี : น้
ผักบ้านๆ คู่ครัวไทย แถมยังเติบโตง่ายในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบบ้านเรา ผักแต่ละชนิดต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน เพราะผักบางชนิดชอบแดด บางชนิดชอบน้ำ ทุกครั้งที่ปลูกไม่ว่าชนิดไหนเราจึงควรหมั่นดูแล เอาใจใส่ แล้วพืชที่ปลูกจะได้ผลผลิตที่ดี บ้านใครมีพื้นที่ปลูกพืชผักถือว่ามีทำเลทองอยู่ในบ้าน ได้ผักที่ปลอดสารไว้กินเองดีต่อสุขภาพ แถมยังสามารถต่อยอดด้วยการปลูกผักขายได้อีกด้วย เป็นกิจกรรมยามว่างสำหรับวันหยุด ชวนครอบครัวมาปลูกผักไว้ทำอาหารกินเองกันดีกว่า มีพืชชนิดไหนที่ปลูกรอบบ้านกันบ้างไปดูกันเลย 🍀สะเดา 🪴วิธีการปลูก เป็นพืชปลูกง่าย ทนแล้ง ยิ่งแล้งยิ่งออกดอกดี การปลูกสามารถปลูกได้หลายวิธี จะปลูกแบบชำต้น พอต้นสมบูรณ์แล้วค่อยเอาลงดิน หรือปลูกแบบเสียบยอดก็ได้ ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ให้ผลรับออกมาเหมือนกัน สะเดาจะผลัดใบช่วงสั้นๆ ปีละ 1 ครั้ง ในช่วงออกดอก ประมาณเดือนธันวาคม-มกราคม ผลมีลักษณะและขนาดคล้ายพวงองุ่น สุกประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ผลสุกมีสีเหลือง หรือเหลืองอมเขียว ภายในมีเมล็ด 1-2 เมล็ด 🌱การเพาะกล้าจากเมล็ดสะเดา การเก็บเมล็ดสะเดามาเพาะกล้า มีเคล็ดลับว่าเมล็ดสะเดาจะต้องแก่จัด โดยเมล็ดสะเดาจะร่วงช่วงเดือนเ
ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันอุตสาหกรรมไก่เนื้อนั้นมีการขยายตัวอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะไก่ดำ ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่ยังคงได้รับความนิยม เนื่องจากลักษณะผิวหนังที่มีสีดำและมีสรรพคุณทางด้านยาที่ใช้ในการบำรุงร่างกาย จึงทำให้ได้รับความต้องการอยู่เสมอ เช่นเดียวกับไก่ดำมองโกเลียที่มีถิ่นกำเนิดจากแถบเหนือของมองโกเลีย ประเทศจีน รูปร่างสวยงาม แข็งแรง ผิวหนัง เนื้อ กระดูก และเครื่องในมีสีดำ ขนมีหลากหลายสีปะปนกันไป ทั้งสีดำ ขาว ทอง และสีดอกหมาก รวมถึงมีลักษณะตัวที่ใหญ่กว่าไก่ดำอินโดนีเซีย คุณเรวัต พาดกลาง เจ้าของ เอแอนด์เอ ฟาร์ม ในพื้นที่ตำบลจันอัด อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ที่เพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์ “ไก่ดำมองโกเลีย” เมื่อเล่าย้อนเส้นทางการเป็นเจ้าฟาร์มในทุกวันนี้ คุณเรวัต เล่าว่า เรียนจบประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาช่างเชื่อมโลหะ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตนครราชสีมา หลังเรียนจบจึงเข้าทำงานในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ในบริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนจะมองหาช่องทางในการหารายได้เสริม จึงเริ่มคิดและหาไอเดียจากความชอบส่วนตัวในเรื่องของสัตว์ปีก จึงเริ่มเลี้ยงไก่สวยงามเพาะพันธุ์ขาย ทำให้มีรายได้เข้ามาไม่ขา
เพื่อผลักดันองค์ความรู้และเปิดโอกาสให้เกษตรกรไทยได้ก้าวทันกระแสพืชเศรษฐกิจแห่งอนาคต ‘เทคโนโลยีชาวบ้าน’ สื่อออนไลน์ด้านการเกษตรครบวงจร ภายใต้เครือมติชน จึงจับมือกับ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดฉากงานสัมมนาแรกของปี ‘ไข่ผำ-วานิลลา : เจาะลึกโอกาสธุรกิจพืชเทรนด์ใหม่’ เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา ณ อาคารหนังสือพิมพ์ข่าวสด ซึ่งเป็นการเจาะลึกศักยภาพของสองพืชเศรษฐกิจมาแรงที่มีแนวโน้มสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง ตอบรับกระแสผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและโภชนาการ สำหรับเวทีสัมมนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ พร้อมด้วยผู้บริหารภาครัฐสังกัดกระทรวงเกษตรฯ นำโดย พีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร, รพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร และ อนุวัฒน์ กำแพงแก้ว ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยพืชอนาคตใหม่ กรมวิชาการเกษตร นอกจากภาครัฐแล้ว ยังมีผู้ประกอบการแถวหน้าในวงการเกษตรร่วมแบ่งปันประสบการณ์จริง ไม่ว่าจะเป็น ณัฐ-ณัฐวุฒิ จันทร์เรือง เจ้าของสวนจันทร์เรือง จ.จันทบุรี, กวาง – พาพร โตอินทร์ เจ้าของสวนแม่
คนที่ชอบกินผลไม้ หรือใครมีที่ข้างบ้าน ข้างสวน อยากแนะนำปลูกผลไม้ 5 ชนิดนี้มีติดบ้านไม่อดตาย มีกินทั้งปี แถมยังขายเสริมรายได้ได้อีกด้วย หรือตอนนี้บ้านไหน มีผลไม้เหล่านี้อยู่บ้าง มาเล่าสู่กันฟังหน่อยว่าปลูกแล้วเป็นยังไงกันบ้าง อีกอย่างไม้ผลบางชนิดอายุยืนมากๆ เหมาะกับสภาพอากาศแบบบ้านเรา และบางชนิดแตกหน่อออกผลผลิตได้เรื่อยๆ โดยไม่สนใจฤดูกาลให้ผลผลิตทั้งปี 🟡ส้มโอ ส้มโอจะเริ่มให้ผลผลิตครั้งแรกเมื่ออายุ 3-4 ปีขึ้นไป จากนั้นจะให้ผลผลิตเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 9-10 ปี และจะให้ผลผลิตดีคงที่ตราบเท่าที่ต้นยังสมบูรณ์ อยู่จนอายุประมาณ 20-30 ปี นิสัยส้มโอทุกสายพันธุ์จะออกดอกติดผลปีละ 2 รุ่น โดยรุ่นแรกออกดอกเดือนธันวาคมถึงมกราคม ผลแก่เก็บเกี่ยวเดือนสิงหาคม-กันยายน (ดกมาก) รุ่นสองออกดอกเดือนสิงหาคม-กันยายน ผลแก่เก็บเกี่ยวเดือนมีนาคมถึงเมษายน (ดกน้อยกว่ารุ่นแรก) แต่ผลรุ่นสองมีคุณภาพดีกว่ารุ่นแรกเพราะผลแก่ตรงกับช่วงแล้ง ถ้าต้องการทำให้ผลรุ่นแรกดีเหมือนรุ่นสองจะต้องควบคุมปริมาณน้ำ โดยเฉพาะน้ำใต้ดินโคนต้นให้ได้เท่านั้น เคล็ดลับ : การใส่ปุ๋ย ในช่วงแรกปลูกไป 1 เดือน จะใส่ปุ๋ยคอก ขี้หมู ขี้วัว ห
ไข่ผำหรือที่บางคนเรียกว่าไข่น้ำ เป็นพืชน้ำจิ๋วที่น่าสนใจในวงการเกษตรไทย เพราะนอกจากจะมีประโยชน์แล้วยังเป็นพืชที่โตเร็วโดยใช้ระยะเวลาในการเพาะเลี้ยงเพียง 14 วัน ก็เก็บเกี่ยวผลผลิตจำหน่ายได้ สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างคุ้มค่า ไข่ผำเป็นพืชน้ำที่มีลักษณะเล็กจิ๋ว มีสีเขียวสดและเจริญเติบโตบนผิวน้ำ มีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ โดยเฉพาะโปรตีนที่มีปริมาณสูงมาก ทำให้ไข่ผำเป็นแหล่งอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับคนและสัตว์เลี้ยง การเพาะเลี้ยงไข่ผำ ในบ่อซีเมนต์ การปลูกไข่ผำไม่ซับซ้อน ใช้พื้นที่น้อยและดูแลง่าย ขั้นตอนสำคัญคือ: เตรียมบ่อปลูก: บ่อซีเมนต์หรือบ่อพลาสติกก็สามารถใช้ได้ เติมน้ำ: ควรใช้น้ำสะอาดและเติมสารอาหารที่เหมาะสม อย่างเช่นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ใส่พันธุ์ไข่ผำ: โรยพันธุ์ไข่ผำให้ทั่วบ่อ ดูแล: รักษาคุณภาพน้ำและกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่อาจกีดขวางการเติบโต ระยะเวลาเก็บเกี่ยวไข่ผำ เพียง 14 วัน หลังจากเริ่มปลูกไข่ผำจะเติบโตเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยว สามารถใช้กระชอนตักออกเพื่อนำไปล้างและบรรจุจำหน่ายได้ทันที โอกาสสร้างรายได้ จากพืชจิ๋วอย่างไข่ผำ ไข่ผำกำลังเป็นที่ต้อง
“ไข่ผำ” หรือ “ผำ” เป็นพืชน้ำขนาดเล็กที่มีลักษณะเด่นคือสีเขียวสด รูปร่างคล้ายกับสาหร่ายหรือไข่ปลา เป็นพืชที่ไม่มีรากและใบ แต่สามารถเจริญเติบโตในน้ำสะอาด โดยมักจะลอยอยู่ตามผิวน้ำ ผำไม่เพียงแต่เป็นอาหารท้องถิ่นที่คนไทยรู้จักกันดี แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่น่าทึ่งจนได้รับการยอมรับว่าเป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” ( super food ) แห่งแหล่งน้ำอีกด้วย คุณค่าทางโภชนาการของไข่ผำ (100 กรัม) ประกอบด้วย 1. ไฟเบอร์ ไข่ผำมีไฟเบอร์เทียบเท่ากับการบริโภคขึ้นฉ่ายฝรั่งถึง 2 กำ ช่วยเสริมระบบขับถ่ายและบำรุงสุขภาพลำไส้ 2. วิตามิน A ปริมาณวิตามิน A ในไข่ผำเทียบเท่ากับการบริโภคแครอท 4 หัว ช่วยบำรุงสายตาและเสริมภูมิคุ้มกัน 3. วิตามิน B12 ไข่ผำเป็นแหล่งสำคัญของวิตามิน B12 ซึ่งมีปริมาณเทียบเท่ากับไข่ไก่ถึง 9 ฟอง ช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาทและการสร้างเม็ดเลือด 4. โพแทสเซียม มีปริมาณโพแทสเซียมเทียบเท่ากับมันฝรั่ง 2 หัว ช่วยควบคุมความดันโลหิตและการทำงานของกล้ามเนื้อ 5. ฟอสฟอรัส ไข่ผำให้ฟอสฟอรัสในปริมาณเทียบเท่านมถั่วเหลือง 2 ถ้วย ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน 6. ธาตุเหล็ก ปริมาณธาตุเหล็กในไข่ผำเทียบเท่ากับบรอกโคลี 3 ถ้วย ช่วย