ผักพื้นบ้าน
เราทราบกันดีว่า ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มีทรัพยากรที่เป็นสมบัติของผืนถิ่น ในกลุ่มประเภทอาหาร นอกจากข้าวแล้ว เห็นจะมีก็แต่พืชผักที่เป็นของดี หาได้ในทุกพื้นที่ และผักต่างๆ ยังจำแนกได้เป็นหลายร้อยชนิด มีทั้งล้มลุก ยืนต้น ใต้ดิน บนดิน กินราก ต้น หัว ดอก ใบ ผล และเถาเลื้อย เช่นผักชนิดนี้ ที่พบเห็นได้มากในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยเรา มีหลายชื่อเรียก แต่ที่รู้จักกันแพร่หลาย รู้จักกันมานาน และนิยมใช้เป็นผักประกอบอาหาร เราเรียกเขาว่า “ผักเชียงดา” มีผู้รู้มากมายหลายท่านได้เผยแพร่สรรพคุณกันมามากแล้ว ที่ขอเอามาเล่าถึงตอนนี้ เพราะเกรงว่าจะถูกนำไปเป็นลิขสิทธิ์ของคนบ้านอื่นเมืองอื่นเขาได้ “ผักเชียงดา” มีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น ผักเจียงดา ผักเซ่งดา ผักม้วนไก่ ผักเซ็ง ผักฮ้วนไก่ ผักอีฮ้วน ผักจันปา หรือ เชียงดา เจียงดา จินดา ก็เรียกกันแต่ละพื้นถิ่น มีชนิดหนึ่งเรียก “ผักวุ้น” หรือ “ผักว้น” ต่างกันที่ลวดลายบนใบ คุณสมบัติอื่นๆ เหมือนกัน ซึ่งผักเชียงดานี้ เป็นไม้เถาเลื้อยยาว พาดพันขึ้นต้นไม้ กิ่งไม้ หรือค้าง เถามีสีเขียว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5-5 เซนติเมตร ยาว 5-10 เมตร ทุกส่วนของต้นเมื่อทำให้เกิดแผล จะพบ
ไม่ได้ล้อเล่นนะ ที่จะเอ่ยว่า มีน้อยคนนักที่จะรู้จักผักชนิดนี้ หรืออาจจะเคยพบเห็นแต่ไม่รู้จัก หรือรู้จักแต่ไม่เคยกิน เคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่า ทำไมมันถึงเหมือนพืชพวกลูกผสม หรือไม่ก็พวกที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรม และบางทีดูเหมือนเป็นพืชโบราณ ส่งต่อภาพสัญลักษณ์ของการดิ้นรน ไขว่คว้า หาจุดหมายปลายทาง และมองเห็นเป็นศิลปะการดำเนินเดินเส้นสายลายศิลป์ที่งดงาม พบเห็นสีสันเด่นชัด สว่างข้างรั้วบ้าน ทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคอื่นๆ ก็มี บางทีเราอาจจะไม่รู้ถ่องแท้ชัดเจนนัก ว่ามันมีที่ไหน ประเทศไหน ขอบมุมโลกที่ใดมั่ง “ผักฮาก” ชื่อนี้ตีความได้หลายทาง เป็นคำเรียกของคนภาคเหนือ “ฮาก” หมายถึง รากพืช หรืออาจจะแปลว่า อาเจียน หรืออาจจะเพี้ยนมาจากคำเรียกของคนภาคอีสาน ว่า “ผักขี้นาค” ทางภาคกลาง เรียก “ผักรด” กะเหรี่ยงเมืองกาญจนบุรี เรียก “ออซะนาดุ” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Erythropalum scandens Blume วงศ์ OLACACEAE เป็นไม้ประเภทเถาเลื้อย เกี่ยวเกาะขึ้นตามต้นไม้ กิ่งไม้ รั้ว ค้าง มีมือเกาะที่ยาว แข็งแรง ออกตามซอกก้านใบ ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว คล้ายใบพลู หรือรูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบมน ผิวใบเกลี้ยงไม่มีขน เห็นเส้นใบชัด
คนไทยส่วนใหญ่ใช้ “ผักพื้นบ้าน” เป็นส่วนผสมในตำรับอาหาร ที่นิยมบริโภคในภูมิภาคต่างๆ อาทิ ภาคเหนือ ผักคราดหัวแหวน ใช้ทำแกง แก้อาการปวดฟัน ผักเสี้ยว นิยมแกงใส่ปลาย่าง มีรสเปรี้ยว งานวิจัยจากญี่ปุ่นระบุว่า มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคเบาหวาน ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ ผักแขยง ผักหวาน ขณะที่ภาคกลางและภาคตะวันออก อาทิ ตับเต่า บอนจีน หรือตาลปัตรฤๅษี ผักน้ำ ชะมวง สำหรับภาคใต้ แกงส่วนใหญ่มักมีสีเหลืองจากขมิ้น ซึ่งช่วยเรื่องการอักเสบในทางเดินอาหาร นิยมกินขนมจีนกับยอดมันปู ซึ่งมีรสฝาด มัน เป็นยาสมานแก้อาการอักเสบ และยังนิยมกินผักเหลียงและสะตอ เป็นต้น นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ประเทศไทยมีผักพื้นบ้านมากกว่า 300 ชนิด ส่วนใหญ่จะขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ริมห้วย หนอง คลอง บึง และป่าเขา ในการศึกษาผักพื้นบ้านในปี 2554 กรมอนามัยได้เก็บตัวอย่างผักพื้นบ้านรวม 45 ชนิด จาก 4 ภาค ประกอบด้วย ภาคกลาง 12 ชนิด ภาคเหนือ 6 ชนิด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 ชนิด และภาคใต้ 22 ชนิด นำไปศึกษาปริมาณสารอาหารที่มีความสำคัญต่อร่างกาย 9 ชนิด ได้แก่ 1. พลังงาน 2. โปรตีน 3. ไขมัน 4. คาร์โบไฮเดรต 5. เบต้าแคโรท
คุณโสภา สุขแสนโชติ หรือ พี่ต้อย ของน้องๆ ลาออกจากราชการ หันมาประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นคือ ผักเชียงดา พี่ต้อยจบการศึกษาทางด้านการเกษตรจากเกษตรน่าน รุ่นที่ 36 ก็เข้ารับราชการจนเมื่อ ปี 2556 ก็ตัดสินใจอำลาชีวิตราชการ มาทำการเกษตรร่วมกับครอบครัวทั้งสามีและลูกชาย โดยพี่ต้อยช่วยงานทุกคนมาตลอด จนกระทั่งเริ่มผลิตผักเชียงดาอย่างจริงจัง พี่ต้อย ชอบกินแกงผักเชียงดามาตั้งแต่เล็กๆ ถูกปลูกฝังให้กินผักพื้นบ้านทุกชนิด ที่บ้านเกิดบ้านป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย คุณพ่อ คุณแม่ ได้ปลูกไว้ 4-5 ต้น ตอนเด็กๆ คุณแม่ใช้ให้ไปเก็บผักเชียงดามาประกอบอาหารอยู่เป็นประจำ เช่น แกงใส่ปลาแห้ง ใส่แกงแค เอามาผัดไข่ ลวกกินกับน้ำพริก และตำมะม่วง ทุกคนในครอบครัวจะชื่นชอบมากๆ ผักเชียงดายิ่งเด็ดยอดก็จะยิ่งแตกยอดอย่างรวดเร็ว ญาติๆ และเพื่อนบ้านต่างก็มาเด็ดยอดไปประกอบอาหาร ที่บ้านจะไม่หวงเผื่อแผ่กันไป เพราะบางบ้านเขาก็ไม่มีที่ดินกว้างพอจะปลูกผักกินได้ ที่บ้านสวนไร่แสนสุข มีต้นผักเชียงดาอยู่ต้นเดียวเพียงพอที่จะเด็ดยอดมาแกงสำหรับคนในครอบครัว 4 คน ต่อมาได้ตัดเถามาชำไว้ในโรงเรือนเพาะชำ 50 กิ่ง วันหนึ่งแม
หลายครั้งที่ได้เดินตลาดสด แม้แต่บนห้างสรรพสินค้าบางแห่ง ที่มุมอาหาร ผัก ผลไม้ ไม่คาดคิดเลยว่าจะเจอผักพื้นบ้านชนิดหนึ่ง เขาเล่าว่า แม้แต่ตลาดต่างประเทศ ยุโรป อเมริกา ก็มีวางขาย ขายให้ใคร? จึงเป็นคำถามที่ตามมา เขาว่าคนที่เสาะหาซื้อไปคือ คนไทย คนลาว คนเขมร คนเวียดนาม รวมถึงคนอินเดีย คนจีน ที่เขาไปอาศัยอยู่ หรือไปทำงานทำการอยู่แถบโน้น ซื้อไปทำอาหาร ไปรับประทาน ตามความนิยมที่ผูกกับตัว และเชื้อชาติดั้งเดิม เขาเรียกกันว่า “ผักแขยง” อ่านว่า ผัก-ขะ-แยง คงมีหลายท่านที่รู้จัก อาจจะรู้จักอย่างมาก ด้วยว่าเคยเก็บ เคยกิน เคยใช้ประโยชน์ เป็นยาบำรุงรักษาร่างกายมาเนิ่นนาน ผ่านการสัมผัสมาชั่วชีวิต ผักแขยง เป็นพืชในวงศ์ SCROPHULARIACEAE ชื่อวิทยาศาสตร์ Limnophila geoffrayi Bonati มีชื่อเรียกอื่นหลายชื่อ เช่น ภาคเหนือ เรียก ผักพา อีสาน เรียก มะออม แขยง กะแยง คะแยง บางที่เรียก ผักลืมผัว ผักอีผวยผาย เขมร เรียก มะออม มีชื่อภาษาจีน ว่า จุ้ยหู่โย่ง หรือ สุ่ยฝูโหยง แสดงว่าคนจีนก็รู้จักมักคุ้นกันดี เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็ก ต้นยาว 20-40 เซนติเมตร ต้นสีเขียวเรียวยาว ตั้งตรง ต้นกลวง เห็นข้อชัด ทั้งต้นมีกลิ่นหอม หรือฉุน
ในช่วงภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง ควรต้องระวังสุขภาพกันสักหน่อย เพราะทั้งหวัด ทั้งไข้ และไหนจะโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดอีก อุบัติเหตุจากยวดยานก็เยอะ ก็คงต้องระมัดระวังกันนะค่ะ ทำร่างกายให้อบอุ่นไว้ หากไม่สบายแล้วจะเสียทั้งเวลาและเสียงานหมด หากท่านรู้สึกอึดอัด คัดจมูก หรือเป็นหวัด ก็ลองใช้ยาแก้หวัดแบบโบราณดู อาจได้ผลดีก็ได้ แถมไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด บวบงู มีลักษณะกลม ยาว ปลายแหลมและบิด สีผลเขียวลายขาว มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียอาคเนย์และจีน นิยมปลูกทั่วไปโดยเฉพาะภาคอีสานและภาคเหนือ วิธีไล่หวัดแบบโบราณ ผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านบอกว่า เอาหัวหอมหรือหอมแดง มาปอกสัก 4-5 หัว ทุบให้พอแตก แล้วเอาน้ำตั้งไฟให้เดือด จากนั้นเอาหัวหอมใส่แล้วยกลง ให้เอาผ้าขาวม้าหรือผ้าขนหนูเช็ดตัวก็ได้ คลุมหัวแล้วก้มหน้าไปที่หัวหอมที่เราทำไว้ทันที ระวังอย่าเอาหน้าไปใกล้มาก เพราะไอน้ำที่ยังร้อนอยู่จะลวกหน้าเอา สูดเอากลิ่นหัวหอมเข้าช้าๆ ลึกๆ เรื่อยๆ จนหมดกลิ่น หรือจนน้ำนั้นเย็น จะทำให้ท่านโล่งจมูก อาหารโบราณอีกอย่างหนึ่งตอนหน้าฝนที่ทำง่ายๆ และอร่อยด้วย และรับรองว่าหาคนเคยกินยาก จะเป็นขนมหวานก็ไม่เชิง กินกับข้าวก็อร่อย กินเปล่าๆ ก็อร่อย
“ผักเชียงดา” เป็นผักพื้นบ้านที่คนไทยในภาคเหนือตอนบน แถบจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน และแม่ฮ่องสอน นิยมรับประทาน เพราะมีสรรพคุณทางยา เช่น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ช่วยละลายลิ่มเลือด ลดความอ้วน บรรเทาอาการหวัด ฯลฯ ทำให้ผักเชียงดาเป็นที่สนใจของผู้คนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ทีมนักวิจัยสถาบันวิจัยเทคโนโลยีเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปริญญาวดี ศรีตนทิพย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์นภา ขันสุภา นายพิทักษ์ พุทธวรชัย และ ดร. ภัทราภรณ์ ศรีสมรรถการ ได้เริ่มศึกษาวิจัย เรื่อง “ผักเชียงดา ราชินีผักล้านนา” ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา โดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนงบประมาณการวิจัย เรื่องการอนุรักษ์และพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตผักเชียงดาที่เหมาะสมในชุมชน เพื่อเพิ่มมูลค่าผักพื้นบ้าน รวมทั้งส่งเสริมการถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ สู่ภาคประชาชน สนองพระราชดำริในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสม ทีมนักวิจัยได้สำรวจผักเชียงดาในภาคเหนือ คัดเลือกพันธุ์ที่ให้ผลผลิต
ในช่วงฤดูหนาวจะมีพืชผักพื้นบ้าน หรือจะเรียกว่าผักจากป่าก็ได้ โดยเฉพาะทางภาคเหนือ จะมีผักมากมายหลายอย่าง ชาวบ้านหาเก็บมาวางขายตามตลาดท้องถิ่น นิยมแพร่หลายในหมู่นักบริโภคอาหารป่า จัดได้ว่าเป็นอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษ มีผักชนิดหนึ่งที่น้อยคนนักที่จะรู้จัก ชื่อแปลกๆ ว่า “สะแล” ส่วนที่นำมาเป็นอาหารรับประทานคือ ดอกอ่อน ลักษณะคล้ายจะเป็นผล ดอกอ่อนสะแล มีลักษณะเป็นลูกกลมๆ มีผิวเป็นตะปุ่มตะป่ำ อาจจะกลม หรือกลมรีป้าน มีหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ขณะเป็นช่อดอกอ่อน จะเป็นลูกกลมๆ มีขนเกสรสีขาวแทงออกสวยงามมาก ส่วนนี้เมื่อผสมเกสรแล้วจะหลุดยุบหายไป ลูกเล็กๆ ซึ่งคาดว่าเป็นอับเรณูของดอก ก็เจริญเป็นผลสะแล ก็คล้ายๆ กับการออกลูกของฟักทองนั้นแหละ เมื่อผลแก่จนสุกเหลือง สลับเขียวเข้ม เขียวอ่อน ออกเต็มในแต่ละช่อ ชูสะพรั่ง ส่วนนี้เขาว่ามันจะขม รับประทานไม่ได้แล้ว สะแล…เป็นพืชเถาไม้เลื้อย พบมากในป่าเบญจพรรณ และป่าละเมาะทางภาคเหนือ มี 2 ชนิด คือ สะแลสร้อย และสะแลป้อม สะแลสร้อย มีลูกกลมยาว ออกลูกเดี่ยว สะแลป้อม มีลูกกลม ออกเป็นช่อ ต้นเหมือนกัน ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียว ด้านหลังใบจะเขียวอ่อนกว่าด้านหน้าเล็กน้อย ขอบใบเรีย
เอ่ยถึง “ผักแว่น” หลายคนคงรู้จัก ฤดูฝน ช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ตรงกับฤดูทำนา เป็นช่วงที่ผักแว่นมีรสชาติอร่อยมาก ในช่วงที่ต้นข้าวกำลังแตกกอ ผักแว่นจะเจริญงอกงามดี ได้รับความอุดมสมบูรณ์จากธรรมชาติ ผักแว่นกำลังแตกใบ ทอดยอด อวบสวยใส น่ากิน หากผ่านพ้นช่วงนี้ไปผักแว่นจะเริ่มแก่ เหนียว ไม่อร่อยแล้ว คนไทยนิยมกินผักแว่นเป็นผักสด เครื่องเคียงกินกับน้ำพริกปลาร้า น้ำพริกปลาปิ้ง น้ำพริกกะปิ ลาบ ก้อย ยำเตา แจ่วปูนา ยำหน่อไม้ ซุบหน่อไม้ หรือนำมาทำน้ำแกงจืดให้เด็กและคนชรากินได้ “ผักแว่น” พบได้ทั่วทุกภาคของไทย ภาคใต้เรียกว่า “ผักลิ้นปี่” ตามลักษณะใบย่อยรูปลิ่ม คล้ายลิ้นปี่เครื่องเป่าประโคมดนตรีปี่พาทย์นั่นเอง ผักแว่น อยู่ในวงศ์ MARSILEACEAE ชื่อวิทยาศาสตร์ Marsilea crenata Presl. ชื่อสามัญ Water Clover เป็นพืชตระกูลเฟิร์น ขยายพันธุ์ด้วยสปอร์ ชอบขึ้นบริเวณที่ดินชื้นและในน้ำ รากเกาะติดกับพื้นดิน มีไหล และเจริญอยู่ในน้ำได้ ผักแว่น มีลำต้นอ่อนสีเขียว เมื่อต้นแก่มีสีน้ำตาล ลำต้นเลื้อยไปตามพื้นดิน ลำต้นค่อนข้างกลม มีขนสีน้ำตาลอ่อนปกคลุม ใบเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 4 ใบ รูปร่างใบย่อยมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมหรือเป็
หลายท่านที่ให้ความสนใจพืชผักสมุนไพรไทย ซึ่งที่จริงควรจะเรียกว่า พืชผัก และพืชสมุนไพร แต่ที่เรียกรวมกันอย่างนี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่า พืชของไทยที่เอามาเป็นอาหาร และเรียกว่าผักนั้น เกือบทุกชนิดจะมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และบำรุงร่างกาย เสริมพลังธาตุให้ร่างกาย ที่เรียกกันว่าสมุนไพร หรือ ยาป่า เช่นเดียวกับผักชนิดนี้ที่หลายคนไม่รู้จัก อยากรู้จัก อีกหลายคนรู้จัก และหลงรักแล้ว เขาคือ “ผักสาบ” ผักป่า มากคุณค่าของไทย ผักสาบ เป็นพืชผักในวงศ์เสาวรส หรือ กะทกรก PASSIFLORACEAE มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Adenia viridiflora craib ชื่อเรียกในท้องถิ่นต่างๆ ของไทย เช่น ภาคกลาง เรียก ผักอีนูน ผักอะนูน คนเมืองกาญจน์ เรียก นางนูน ทางภาคเหนือ อีสาน เรียก ผักสาบ เป็นไม้เถาเลื้อย อายุยืนหลายปี เป็นไม้ป่าที่ชาวบ้านป่า หรือพรานป่ารู้จักในชื่อ “เครือน้ำ” เมื่อเวลาเดินป่า ขาดน้ำกิน หาน้ำจากห้วยหนองไม่มี ก็อาศัยตัดเถา หรือเครือผักสาบรองกินน้ำที่หยดออกมาจากเถานั้นได้ เป็นเถาไม้ที่ดูดอมน้ำไว้ในเถา คนที่รู้จักจะอนุรักษ์ไม้เถาชนิดนี้ไว้ ไม่ให้ตัดฟันให้เกิดแผลโดยไม่จำเป็น ต้นผักสาบจะตายได้ เพราะถ้าเกิดแผลตัด น้ำ