ภัยแล้ง
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิด “โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการติดตามสถานการณ์น้ำ เพื่อเฝ้าระวังและรับมือภัยแล้ง-อุทกภัย” ครั้งที่ 2 สำหรับพื้นที่ภาคกลาง ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวง อว. โดยสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) และ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) ระหว่างวันที่ 14 – 15 พฤษภาคม 2568 ณ อาคารสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ดร.รอยบุญ รัศมีเทศ ผู้อำนวยการ สสน. นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการรักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวง อว. เข้าร่วมงาน พร้อมด้วยผู้บริหารและบุคลากรของกระทรวงมหาดไทย จากหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ภาคกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 120 คน จาก 8 จังหวัด ได้แก่ ลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง
โดยธรรมชาติ ทุเรียนไม่ได้ปลูกกันง่ายๆ ต้นทุเรียนไม่สามารถปลูกได้ทุกพื้นที่ น้ำเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของทุเรียน หากแหล่งน้ำไม่เพียงพอ เสี่ยงทำให้ทุเรียนยืนต้นตายได้ ขณะเดียวกันในภาวะร้อนแล้งจัด หากดูแลจัดการไม่ดี แม้ต้นทุเรียนได้น้ำทุกวัน ก็มีโอกาสประสบปัญหาต้นเหี่ยวใบเฉา ลูกร่วง ลูกแตก เนื้อแข็งเป็นไต ทั้งเจออาการเต่าเผา และลูกไม่ขยายตัวได้เช่นกัน ปลูกทุเรียนให้รอดในสภาวะร้อนแล้ง เกษตรกร ต้องเข้าใจทุเรียนจริงๆ อาจารย์ภพศักดิ์ ปานสีทอง นักวิชาการด้านทุเรียน ที่มีประสบการณ์เรื่องการปลูกดูแลทุเรียนทั้งภาคสนามและด้านงานวิจัย ให้คำแนะนำเรื่องการปลูกทุเรียนให้รอดในสภาวะร้อนแล้ง แก่ลูกเพจ Facebook : ใส่ปุ๋ยให้ถูกพืชก็งาม by อ.ภพ Pobsak Panasrithong ว่า การปลูกทุเรียนให้รอดในสภาวะร้อนแล้ง ต้องเข้าใจทุเรียนจริงๆ ต้องทำต้นทุเรียนให้สมบูรณ์แข็งแรงที่สุดเพื่อรับสภาพอากาศสุดขั้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในภาวะร้อนแล้ง มีข้อแนะนำในการดูแลแปลงทุเรียน ดังนี้ คือ 1. จัดสรรให้ทุเรียนได้รับธาตุอาหาครบทั้ง 14 ชนิดทั้งทางดินและทางใบ โดยการใช้เมทัลทีมเลือกใช้เมทัลให้เหมาะในแต่ละช่วงทั้ง
เมื่อพูดถึง “ภัยแล้ง” ถือว่าเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งมีภาคการเกษตรเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่สำคัญของเศรษฐกิจ ปัญหาภัยแล้งทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง รายได้ของเกษตรกรลดลง และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ สถานการณ์ภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคการเกษตรของประเทศไทย โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2568 ที่คาดการณ์ว่าจะเผชิญกับภาวะเอลนีโญที่รุนแรง ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนลดลงและอุณหภูมิสูงขึ้น เกษตรกรจึงจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วยการจัดการดิน น้ำ และโรคพืชอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสียหายและรักษาผลผลิตให้ได้มากที่สุด ในปี 2567 ที่ผ่านมา GDP ภาคการเกษตรหดตัว 1.1% เนื่องจากภัยแล้งและน้ำท่วม แต่ในปี 2568 คาดว่าจะเติบโต 2.8% หากมีการพัฒนาสินค้าเกษตรและเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรเพื่อรับมือกับปัญหาภัยแล้ง รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินมาตรการ เช่น ควบคุมการใช้น้ำ จัดสรรน้ำสำรอง และทำฝนหลวง ขณะที่เกษตรกรควรปรับตัวด้วยการเลือกปลูกพืชที่ทนแล้ง ใช้น้ำน้อย และปรับปรุงระบบชลประทานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประเท
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น พื้นที่ทำการเกษตรที่เคยอุดมสมบูรณ์ต่างประสบปัญหาภัยแล้งจากภาวะฝนทิ้งช่วงยาวนานขึ้น ทำให้พืชขาดน้ำ ชะงักการเติบโต และได้ผลผลิตน้อยลงกว่าเดิม ในสภาวะที่โลกเข้าสู่วิกฤตโลกร้อน “เกษตรทฤษฎีใหม่” ซึ่งเป็นแนวพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการบริหารจัดการที่ดินและน้ำเพื่อการเกษตร นับว่าเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ปัญหาน้ำไม่เพียงพอให้แก่เกษตรกร สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม กรมวิชาการเกษตร ได้น้อมนำแนวพระราชดำริ “เกษตรทฤษฎีใหม่” มาใช้แก้วิกฤตขาดน้ำทำเกษตร โดยนำหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ ผนวกกับแนวคิด พลังงานทดแทน ระบบเกษตรอัจฉริยะ การให้น้ำตามความต้องการของพืช และคาร์บอนเครดิต จนประสบความสำเร็จในการประยุกต์เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ เข้ามาใช้ในแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ เช่น ระบบให้น้ำทุเรียนพลังงานแสงอาทิตย์ โรงเรือนผักพรางแสงอัตโนมัติพลังงานแสงอาทิตย์ จะช่วยให้ใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพผลผลิต และยังช่วยลดโลกร้อนอีกด้วย เทคโนโลยีการให้น้ำแบบแม่นยำ สำหรับระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์
ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งแล้ว (1 พฤศจิกายน 2566 ถึง 30 เมษายน 2567) ผลกระทบจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) และปรากฏการณ์เอลนีโญ อาจส่งผลให้ในบางพื้นที่จะประสบกับสภาวะขาดแคลนน้ำและปริมาณน้ำต้นทุนอาจจะมีไม่เพียงพอให้ใช้ในระยะยาว โดยช่วงฤดูแล้งปี 2567 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำการเกษตรนอกเขตชลประทาน จำนวน 924,438 ไร่ ใน 13 จังหวัด 35 อำเภอ 76 ตำบล ดังนั้น กรมส่งเสริมการเกษตรจึงขอความร่วมมือให้เกษตรกรและประชาชนเตรียมการรับมือ และใช้น้ำอย่างประหยัดเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยขอให้พี่น้องเกษตรกรปรับตัวตระหนักถึงเรื่องการใช้น้ำอย่างประหยัด ไม่ปลูกพืชฤดูแล้งเกินแผนที่กำหนด พร้อมดูแลรักษาความชื้นในแปลงปลูกพืช สร้างแหล่งน้ำในไร่นา หรือปรับเปลี่ยนกิจกรรมการเกษตร โดยใช้แนวทางตามศาสตร์พระราชาเพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เช่น เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน เป็นต้น เนื่องจากปีนี้ สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยโดยทั่วไปอาจประสบภาวะอากาศร้อนและแห้งแล้ง โดยเฉพาะพื้นที่ไม้ผลนอกเขตชลประทาน ในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งป
อธิบดีกรมชลประทาน สั่งการให้ระดมรถบรรทุกน้ำ เครื่องจักร เครื่องมือ เข้าไปช่วยเหลือชาวสวนทุเรียนในเขตจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพรอย่างต่อเนื่อง หลังสวนทุเรียนหลายแห่งกำลังประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำ เหตุจากฝนที่ตกน้อย ในขณะที่ผลผลิตทุเรียนกำลังจะออกสู่ตลาด นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภัยแล้งที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน เนื่องจากปริมาณฝนที่ตกน้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร ส่งผลกระทบให้สวนทุเรียนที่ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาด หลายแห่งเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ จึงได้สั่งการให้สำนักเครื่องจักรกล และสำนักงานชลประทานที่ 14 ระดมรถบรรทุกน้ำไปแจกจ่าย และนำเครื่องจักร เครื่องมือต่างๆ เข้าไปขุดลอกแหล่งน้ำในหลายพื้นที่ เพื่อให้ผลผลิตทุเรียนไม่ได้รับความเสียหาย โดยที่จังหวัดชุมพร และประจวบคีรีขันธ์ กรมชลประทาน ยังคงดำเนินการเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องชาวสวนทุเรียนอย่างต่อเนื่อง จนถึงขณะนี้ได้ระดมรถบรรทุกน้ำไปแล้ว 15 คัน นำน้ำเข้าไปแจกจ่ายให้กับพี่น้องเกษตรกร รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน นอกจา
พื้นที่บ้านทุ่งโป่ง อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ตั้งอยู่ใต้เขื่อนอุบลรัตน์ แต่ในพื้นที่กลับไม่มีน้ำใช้ เพราะพื้นที่อยู่สูงกว่าแหล่งน้ำ และไม่มีระบบส่งน้ำเข้าสู่พื้นที่การเกษตร ซึ่งภายหลังได้แก้ไขโดยการทำสถานีส่งน้ำ ฝาย และวางระบบท่อเพื่อให้สามารถส่งน้ำเข้าสู่แปลงเกษตรได้ เมื่อในพื้นที่มีน้ำแล้ว จึงเริ่มส่งเสริมการปลูกพืชหลังนา อาทิ ฟักทอง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดหวาน โดยเอาตลาดนำ ดึงผู้มีความเชี่ยวชาญเข้ามาช่วย มีมูลนิธิพัฒนาชีวิตชนบทมาให้ความรู้ และบริษัทเอกชนเข้ามารับซื้อ ข้าวโพดหวานจึงเป็นพืชที่เกษตรกรให้ความสนใจ ข้าวโพดหวาน ใช้ระยะเวลาในการปลูก 70-90 วัน การดูแลรักษาไม่ยาก ให้น้ำอย่างพอเหมาะ เมื่อได้ผลผลิตข้าวโพดสามารถขายได้ทุกส่วน ส่วนแรก ขายฝักส่งบริษัทรับซื้อจากจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจะต้องมีขนาด ฝักละ 3 ขีด ขึ้นไป ในราคากิโลกรัมละ 4 บาท ส่วนที่สอง ฝักตกเกรดต้มขายในชุมชน และ ส่วนที่สาม สับลำต้นขาย ในราคากิโลกรัมละ 2 บาท เพื่อเป็นอาหารสัตว์ ปัจจุบันมีสหกรณ์โคนมขอนแก่น มารับซื้อ เพื่อนำไปเลี้ยงโค เพราะต้นข้าวโพดสับเมื่อให้โคนมกินจะมีโปรตีนสูง น้ำนมโคจะดี ปัจจุบัน เป็นปีที่ 4 แล้
วันที่ 15 มีนาคม 2566 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) หรือ GISTDA ร่วมกับ จังหวัดอุทัยธานี จัดการประชุมและอบรมเชิงปฏิบัติการ แพลตฟอร์ม “การประเมินพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งและความเสียหายของพืชเกษตรรายแปลงจากแบบจำลอง ด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ” ภายใต้การสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม จาก วช. โดยมี นายพีระพล ตัณฑโอภาส รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี เป็นประธานเปิดการประชุม โดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ ผู้ทรงคุณวุฒิ วช. และ ภารกิจการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยกลุ่มสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ และสื่อมวลชน เข้าร่วมการประชุมฯ เพื่อการนำเสนอแพลตฟอร์มการประเมินพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งของพืชเกษตรรายแปลงจากแบบจำลองด้วยเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย ณ ศาลากลางจังหวัดอุทัยธานี นายพีระพล ตัณฑโอภาส รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี กล่าวว่า ในนามจังหวัดอุทัยธานีขอต้อนรับเจ้าหน้าที
สทนช.ติดตามความก้าวหน้าและวางแผนสำรองน้ำต้นทุน ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ณ “อ่างเก็บน้ำคลองกะทะ” “โครงการวางท่อน้ำดิบพร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำ (คลองกะทะ) เพื่อสูบผันน้ำในฤดูฝนไปผลิตน้ำประปาและรักษาน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำคลองกะทะ” ณ สถานีผลิตน้ำคลองกะทะ การประปาส่วนภูมิภาค สาขาภูเก็ต “ขุมน้ำประปาเทศบาลตำบลเชิงทะเล” และ “โครงการแก้มลิงบ้านโคกโตนดพร้อมระบบผันน้ำไปยังอ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ” โดยคาดว่าโครงการข้างต้น จะช่วยสำรองน้ำต้นทุนของจังหวัดภูเก็ตได้กว่า 0.85 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ต่อปี วันนี้ (19 กันยายน 2565) นายสราวุธ ชีวะประเสริฐ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าและติดตามผลการการศึกษาของโครงการ ซึ่ง สทนช. อยู่ระหว่างดำเนินการโครงการศึกษาแผนหลักแบบบูรณาการเพื่อการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งพื้นที่เฉพาะ (Area based) เกาะภูเก็ต โดยได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยนเรศวรและกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการศึกษา ด้านการจัดทำแผนหลักแบบบูรณาการ แนวทางการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการที่ครอบคลุมตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ทั้ง 6 ด้าน ตลอดจนรวบรวม
ข้อมูลจากกรมชลประทานระบุว่า “เกษตรกรส่วนใหญ่พึ่งน้ำฝนธรรมชาติ ระบบเกษตรชลประทานมีไม่ถึง 23%” และยิ่งจากภาวะความแปรปรวนของสภาพอากาศในระยะที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ระบบชลประทานทั้งขนาดใหญ่และเล็ก อาจจะไม่สามารถใช้งานได้เต็มตามขีดความสามารถของระบบชลประทานนั้นๆ เนื่องจากมีปริมาณน้ำในระบบชลประทานน้อยกว่าศักยภาพกักเก็บ ทำให้ต้องจัดสรรน้ำระหว่างภาคส่วนอย่างระมัดระวังมากขึ้น และ อาจจะต้องการการจำกัดพื้นที่เพาะปลูก เนื่องจากไม่มีน้ำเพียงพอ นายบุญถึง สีสมพู อายุ 65 ปี เกษตรกรในตำบลท่าหลวง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชีมา ได้หันมาให้ความสนในการเลี้ยงแพะสู้ภัยแล้ง เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดนครราชสีมาเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ในรอบหลายปีที่ผ่านมาเกษตรกรต้องประสบกับปัญหาภาวะภัยแล้ง ดำเนินการปลูกพืชได้น้อยมาก หรือบางรายสามารถปลูกพืชได้แต่ก็ประสบปัญหาขาดทุน จึงต้องเลี้ยงปศุสัตว์ใช้น้ำน้อยกว่าการปลูกพืช นายบุญถึง เล่าให้ฟังว่า ตนเองนั้นเริ่มต้นเลี้ยงแพะจำนวน 45 ตัว เพราะแพะเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องขนาดเล็ก มี 4 กระเพาะ สามารถกินใบไม้และพืชต่างๆ ได้มากกว่า 150 ชนิด สามารถให้ผลผลิตดีมาก แพะเพศผู้ ส