Exclusive
ประเทศไทย ถือเป็นผู้นำด้านการส่งออก วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยมูลค่าการส่งออกที่สูงถึง กว่า 12 ล้านบาท จากสมุนไพรที่ตลาดให้ความสนใจสูงสุด 24 ชนิด หนึ่งในดาวเด่นคือ “ขมิ้นชัน” เป็นสมุนไพรที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางยา และสามารถต่อยอดแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าได้มากถึง 10 เท่า ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบผง แคปซูล เครื่องดื่ม หรือเครื่องสำอาง ก็ล้วนได้รับความนิยมทั้งในและต่างประเทศ คุณจอน-เสาวลักษณ์ มณีทอง อดีตพนักงานออฟฟิศที่ตัดสินใจกลับบ้านเกิด เพื่อเริ่มต้นทำในสิ่งที่ตัวเองรัก นั่นคือ การปลูกและแปรรูปสมุนไพร จากความตั้งใจเล็กๆ ในชุมชน กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “วิสาหกิจชุมชนสมุนไพรปลูกรัก” ที่วันนี้ไม่เพียงสร้างรายได้ให้กับครอบครัวและคนในชุมชน แต่ยังสามารถต่อยอดส่งออกผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยไปยังต่างประเทศ ได้หลายแห่ง สร้างชื่อให้กับสมุนไพรไทยในเวทีโลก จากสมุนไพรที่เคยใช้ในครัว กลายเป็นสินค้าทำเงินให้หลายบ้านในชุมชน วันนี้ขมิ้นชันจึงไม่ใช่แค่สมุนไพรธรรมดา แต่เป็นฮีโร่ตัวจริงของวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรปลูกรัก ที่ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างความภาคภูมิใจให้กับทุกคน ย้อนอ่
“เรากินอย่างไร ก็อยากให้คนที่กินของเรากินแบบนั้นเหมือนกัน” การทำเกษตรอินทรีย์ไม่ใช่แค่เรื่องของกระแสหรือการตลาด แต่คือ ‘วิถีชีวิต’ที่สอดคล้องกับ ‘ธรรมชาติ’ การปลูกแบบที่ไม่ทำร้ายดิน ไม่ทำร้ายตัวเอง และไม่ทำร้ายคนกิน คุณจอน-เสาวลักษณ์ มณีทอง อดีตพนักงานออฟฟิศที่ตัดสินใจกลับบ้านเกิด เพื่อเริ่มต้นทำในสิ่งที่ตัวเองรัก นั่นคือ การปลูกและแปรรูปสมุนไพร จากความตั้งใจเล็กๆ ในชุมชน กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “วิสาหกิจชุมชนสมุนไพรปลูกรัก” ที่วันนี้ไม่เพียงส่งเสริมเรื่องการ สร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับครอบครัวและคนในชุมชน แต่ยังสามารถต่อยอดส่งออกผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยไปยังต่างประเทศได้หลายแห่ง สร้างชื่อให้กับสมุนไพรไทยในเวทีโลก จุดเริ่มต้นของการลงมือทำเกษตรจริงๆ ก็มาจากที่ดินของพ่อแม่ ซึ่งยกให้คุณจอนดูแลและสืบทอดต่อ ประมาณ 15 ไร่ พื้นที่ตรงนั้นกลายเป็นสนามทดลองแห่งแรกที่ได้ลองผิดลองถูก ปรับพื้นที่ ปลูกพืช และเรียนรู้ทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง เมื่อเริ่มจับทางได้ รู้ว่าจะปลูกอะไร ทำตลาดแบบไหน พื้นที่ก็เริ่มขยับขยายขึ้นจนตอนนี้มีแปลงเกษตรที่เป็นของคุณจอนเองอีกเกือบ 100 ไร่ ซึ่งก็ยังคงขยายตัวต่อเนื่องต
หากพูดถึงพืชที่ปลูกครั้งเดียวแต่เก็บเกี่ยวได้ยาวนาน “ไผ่” ต้องติดโผอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน ไม่ใช่แค่ให้ร่มเงาสวยงามหรือใช้ลำทำเฟอร์นิเจอร์ แต่ “หน่อไม้” ยังเป็นของกินยอดนิยมที่ขายดีตลอดปี ยิ่งตลาดอาหารสุขภาพกำลังมาแรง หน่อไม้สดๆ ปลอดสารก็ยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้น หลายคนอาจคิดว่าการปลูกไผ่ต้องใช้พื้นที่เยอะ แต่ความจริงแล้วสามารถปลูกได้ทั้งแบบสวนใหญ่และสวนข้างบ้าน ขอแค่มีการจัดการที่ดี เลือกพันธุ์ให้เหมาะสม แค่นี้ก็สามารถทำเงินหลักหมื่นต่อวันได้ไม่ยาก วันนี้เทคโนโลยีชาวบ้านจะพาไปดูแนวทางการปลูกไผ่แบบมืออาชีพ ตั้งแต่เลือกพันธุ์ การดูแล ไปจนถึงเทคนิคเพิ่มผลผลิต ให้ปลูกครั้งเดียวแต่ขายหน่อได้ไม่มีหมด คุณบารมี วรานนท์วนิช เจ้าของ “สวนไผ่บารมี” ผู้เปลี่ยนสวนส้มเดิมให้กลายเป็นอาณาจักรไผ่เลี้ยงอีสานเขียว เริ่มต้นจากเพียง 30 ไร่ ก่อนขยายพื้นที่เพาะปลูกจนแตะ 212 ไร่ ปัจจุบัน สวนไผ่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งสร้างรายได้ต่อเนื่องทุกวัน เฉลี่ยวันละ 20,000 บาท ด้วยผลผลิตที่สามารถเก็บขายได้ตลอดทั้งปี โดยสร้างตลาดจากหน้าบ้านของเขาเอง โดยปกติ หน่อไม้ มักจะพบมากในช่วงฤดูฝน แต่
เก้ากลิ่น ได้เริ่มต้นจากการคัดสรรดอกไม้คุณภาพ 9 ชนิดมาปรุงแต่ง จนเป็นกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อนำมาปรุงผลิตภัณฑ์สมุนไพรต่างๆ ภายใต้ แบรนด์เก้ากลิ่น ให้มีกลิ่นหอมและสรรพคุณที่มีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ทุกเพศทุกวัย วัตถุดิบธรรมชาติคุณภาพคัดพิเศษจากแหล่งธรรมชาติ และผ่านกระบวนการผลิตสมัยใหม่ที่มีคุณภาพและมาตรฐานรับรองเพื่อให้ผู้บริโภควางใจถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งาน คุณจันทนา วิชัย เจ้าของแบรนด์เก้ากลิ่น เล่าว่า อดีตเป็นอาจารย์สอนทางด้านเครื่องหอมที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาพระนครศรีอยุธยา มีความสามารถในการทำน้ำอบไทย น้ำปรุง แป้งร่ำ ชุดเครื่องหอมราชสำนักกรุงเก่า และเป็นผู้คิดค้นปรับปรุงสูตรน้ำปรุง น้ำอบไทยต่างๆ เพื่อพัฒนางานภูมิปัญญาไทยให้มีคุณภาพ ปัจจุบันได้รับการจดอนุสิทธิบัตร เรื่องน้ำหอมจากมะกรูดไทย โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา วัตถุดิบที่เลือกใช้ในผลิตภัณฑ์เก้ากลิ่นเป็นเกรดพรีเมียมที่ได้รับการรับรองเท่านั้น เพราะเชื่อว่าวัตถุดิบที่ดีจะนำมาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ตำนานเครื่องหอมเก้ากลิ่นอยุธยา เป็นสิ่งที่นำมาประกอบกันทำให้เกิดกลิ่นห